“ขอให้คิดเสมอว่า วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้
ขอให้เราอย่าได้ประมาท”
ทุกๆ เช้า-เย็น หลังจากทำวัตรสวดมนต์
เจริญจิตภาวนาเสร็จ หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้โอวาทเตือนสติพระภิกษุ-สามเณรเป็นประจำทุกๆ
วัน
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่แล้ว
หลายท่านคงเคยได้ยินข่าวพระสงฆ์ถูกระเบิดขณะออกบิณฑบาต ในถนนหลักติดตลาด
เขตอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ผู้เขียนยังจำภาพนั้นจากข่าวติดตาอยู่เลย
ภาพพระสงฆ์จำนวน ๔-๕ รูปนอนเกลื่อนถนน บาตรกระจัดกระจาย ลูกศิษย์ถือปิ่นโต นอนจมกองเลือดด้วยความเจ็บปวด
แต่ก็จำไม่ได้ว่าพระสงฆ์แต่ละรูปนั้นเป็นใคร
วันหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปที่วัดพรหมนิวาส
อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส แล้วนั่งฟังพระสงฆ์รูปหนึ่ง
ท่านเล่าถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระสงฆ์โดนระเบิดขณะออกบิณฑบาตให้ฟัง
หลายรูปก็ฟังด้วยใจจดใจจ่อ ท่านเล่าเหตุการณ์แต่ละฉากๆ
เสมือนว่าท่านอยู่ในเหตุการณ์จริง ผู้เขียนนั่งฟังอยู่ก็นึกภาพไปตาม
สัมผัสได้ถึงความเจ็บ ทุกข์ทรมานกายใจ
ตอนนั้น พระครูวิสิฐพรหมคุณ หลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านก็นั่งฟังอยู่ด้วย
สักพักหนึ่งท่านก็เปิดภาพข่าวหนังสือพิมพ์เก่าๆ ฉบับหนึ่งในโทรศัพท์ให้ดู
ซึ่งเป็นภาพของท่านเองที่ถูกระเบิด วันนี้เรามาเจอผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ท่านเล่าย้อนให้ฟังว่า
" วันที่เกิดเหตุไม่ได้มีลางบอกเหตุอะไรมาก่อน
ก็เดินออกไปบิณฑบาตตามปกติ สิ้นเสียงระเบิดก็เห็นทุกคนล้มลง รวมถึงตัวเองด้วย
ตอนนั้นมีสติดี อยากจะช่วยเหลือทุกคน แต่ได้ยินแต่เสียงตะโกนบอกว่า ระวังดีๆ
อาจจะมีระเบิดซ้ำ ตอนนั้นไม่รู้จะระวังอย่างไร เพราะขยับตัวไปไหนไม่ได้
เป็นบุญอยู่ที่ไม่มรณภาพ ปัจจุบันจีวรชุดนั้นผมยังเก็บไว้อยู่
กราบก่อนนอนจำวัดทุกวัน
บาตรที่เป็นรูถูกสะเก็ดระเบิดก็ยังเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนสติ
ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ความตายเกิดขึ้นได้ทุกวินาที "
หลวงพ่อเจ้าอาวาสเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า
ทุกวันนี้หลังจากทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น แผ่เมตตาเสร็จแล้ว
ก็ให้โอวาทแก่พระภิกษุ-สามเณรตลอดเวลาว่า
“ขอให้คิดเสมอว่า
วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้ ขอให้เราอย่าได้ประมาท”
ท่านพูดไปยิ้มไป
เล่าถึงจังหวัดนราธิวาสว่า มีแต่ของดีทั้งนั้น ธรรมชาติดี อากาศดี อาหารดี ทุกอย่างดีหมด
แต่บางครั้งคนอารมณ์ไม่ดี ก็เลยมีวางระเบิดบ้าง ผู้เขียนได้ฟังหลวงพ่อแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายไปเยอะ
นึกถึงท่านว่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างนี้ ท่านก็ยังมีอารมณ์ขัน
อารมณ์ขันมันดีอย่างนี้นี่เอง แต่อารมณ์ไม่ดี ไม่ดีเลย
ได้ยินเรื่องของอารมณ์ไม่ดี
ตั้งแต่เดินทางมาเข้ามาในเขตของพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
คนขับรถเป็นผู้มีความชำนาญเส้นทางเป็นพิเศษ รู้เรื่องเหตุการณ์เยอะมาก
พอแต่รถวิ่งผ่านไปที่ตรงไหนจะมีเรื่องเล่าให้ฟังตลอดว่า
เส้นทางนี้เคยเกิดเหตุระเบิดแล้วกี่ครั้งแล้ว ตรงนี้มีการยิงแล้วทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนกี่ศพอะไรทำนองนี้
ตรงนี้เขาชอบวางตะปูเรือใบเจ้าหน้าที่
ซึ่งมองในมุมหนึ่งก็เป็นการฝึกมรณานุสติได้เป็นอย่างดี ให้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ
แต่ในระหว่างนั้นผู้เขียนมีความตื่นเต้นไม่ค่อยมองเป็นมรณานุสติเท่าไหร่
ส่วนใหญ่จะถูกความกลัวครอบงำ
วันหนึ่งผู้เขียนมีธุระไปในตัวเมืองนราธิวาสจึงได้ขอติดรถโยมท่านหนึ่งไปด้วย
โยมเล่าให้ฟังว่า เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ มาอยู่ที่นี่นานพอสมควรแล้ว
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ก็มีความกลัวอยู่บ้าง
แต่ทุกวันนี้มีความรู้สึกเป็นปกติแล้ว มีความเข้าใจเหตุการณ์
“โยมคิดอย่างนี้ ถ้ามันถึงคราวของเราอยู่ที่ไหนก็ตาย
ซึ่งในขณะนั้นรถวิ่งไปถึงตรงจุดที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดพระสงฆ์บิณฑบาตในครั้งนั้นพอดี
โยมพูดไปด้วยพร้อมกับชี้บอกว่า ที่ตรงนี้แหละที่หลวงพ่อโดนระเบิด
เห็นไหมขนาดโดนระเบิด ถ้ายังไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตาย ทุกวันนี้โยมคิดอย่างนี้ ไปไหนมาไหนสบายหน่อย”
แล้วโยมก็หันหน้ามาถามผู้เขียนว่า แล้วพระอาจารย์คิดอย่างไร
ไม่กลัวหรือจึงลงมาถึงจังหวัดนราธิวาส ?
ผู้เขียนตอบว่า
เรื่องความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา ที่สุดของความกลัวก็คือความตาย
โยมก็พูดขึ้นประโยคหนึ่งบอกว่า ท่าน ไม่ต้องกลัวหรอก โยมรับรองเรื่องความปลอดภัย
แต่เรื่องความไม่ปลอดภัย โยมไม่กล้ารับรอง พอโยมพูดประโยคนี้ขึ้นมา
มันทำให้หวนระลึกถึงคำว่า มรณานุสติได้อย่างแท้จริง
วันนั้นโยมพาไปสัมผัสพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์
พร้อมมีเรื่องเล่าประกอบให้เห็นความเป็นอยู่ของวิถีชีวิตของคนที่นี่
ทำให้ผู้เขียนได้เข้าใจความรู้สึกของคนในพื้นที่ว่า
เวลาเกิดเหตุการณ์แล้วรู้สึกอย่างไร ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งไหนที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ทำความรู้สึกให้เกิดความเจ็บปวด
การดำรงอยู่ได้ของกิจวัตรของพระสงฆ์ในพื้นที่
คือการดำรงอยู่ได้ของพระพุทธศาสนา ในพื้นที่ซึ่งชาวพุทธเหลืออยู่น้อย อย่างเช่นในพื้นที่ของ ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอยู่ในลักษณะนี้ อีกไม่นานคงจะหมดไป
เพราะในหลายๆ พื้นที่ไม่มีผู้สืบต่อแล้ว พูดถึงคนที่จะบวชก็มีน้อยลงเต็มที
ที่วัดก็มีหลวงปู่ หลวงตาที่ทำหน้าที่ในการดูแลวัด ดูแลพระพุทธศาสนา
ดูเหมือนว่า พระสงฆ์ในพื้นที่ก็อยู่ลำบากมากขึ้น
จะไปไหนมาไหน ก็ยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้
ในไม่ช้าพระสงฆ์ก็คงหมดไปในพื้นที่ จะเหลือแต่เพียงซากกุฏิ ศาลา วิหาร
ลานเจดีย์ที่มีแต่จะผุพังไปตามกาลเวลา
และมีสัญลักษณ์เพียงแค่สีจีวรให้ได้ระลึกถึงว่า ณ ดินแดนแห่งนี้เคยมีพระสงฆ์
เคยมีชาวพุทธอาศัยอยู่ ทุกๆ เช้าชาวบ้านจะมาคอยใส่บาตรพระสงฆ์
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบจีวรให้เหลืองอร่าม คิดแล้วก็ได้แต่สังเวชใจ
ผู้เขียนได้ยินเรื่องราวแล้วทำให้เกิดความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
มีครั้งหนึ่งทางโรงพยาบาลต้องการจะนิมนต์พระสงฆ์ไปโปรดญาติโยมที่ป่วยหนักที่อยู่ในโรงพยาบาล
คนป่วยหวังอยากจะเห็นพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญของชีวิต
ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหมดลมหายใจ
แล้วก็ไปนิมนต์พระสงฆ์ที่วัดแห่งหนึ่งแต่ก็ไม่มีรูปไหนที่จะเดินทางไปได้
โยมผู้มานิมนต์ก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไรท่าน งั้นโยมขอยืมบาตรและจีวรไปให้คนป่วยได้เห็นชายผ้าเหลือง
ได้อธิษฐานแทนก็แล้วกัน
แล้วโยมก็นำบาตรและจีวรไปให้คนป่วยได้อธิษฐานตามที่กล่าวอย่างนั้นจริงๆ
เราทุกคนไม่สามารถจะย้อนเวลากลับไปทำหน้าที่ที่มันผ่านมาแล้วได้
สิ่งที่เราจะทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด พูดถึงการทำหน้าที่ของพระธรรมทูตอาสาก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทของพระสงฆ์ในพื้นที่ที่ยืนหยัดอยู่เป็นที่พึ่งให้แก่ชาวบ้านให้แก่ชุมชน
ผู้เขียนได้พูดคุยกับพระธรรมทูตอาสารูปหนึ่งของจังหวัดนราธิวาส
ท่านเล่าให้ฟังว่ามีแรงบันดาลใจในการทำหน้าที่ เมื่อครั้งหนึ่งคณะพระธรรมทูตอาสา ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากราบเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้ดำริให้จัดตั้งพระธรรมทูตอาสาขึ้น
แล้วเจ้าประคุณฯ ก็ได้ให้โอวาท มีความตอนหนึ่งว่า “เราตายได้ พระพุทธศาสนาตายไม่ได้
หากไม่มีพระสงฆ์ในพื้นที่ชาวพุทธก็หมดที่พึ่ง แม้วันใดวันหนึ่งข้างหน้า
พระพุทธศาสนา ชาวพุทธจะอยู่ไม่ได้จริงๆ
ก็ขอให้พระสงฆ์เดินออกจากพื้นที่เป็นคนสุดท้าย”
ทำให้ในปัจจุบันนี้หลายรูปได้ทำลายกำแพงแห่งความกลัวไป
เหลือไว้แต่หัวใจที่เสียสละด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ตามปณิธานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เขียนได้เห็นข่าวการออกบิณฑบาตของพระครูปัญญาธนากร
เจ้าอาวาสวัดตันติการาม ตำบลตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
ซึ่งหยุดการบิณฑบาตมา ๑๒ ปีแล้ว ด้วยความมุ่งหวังอยากให้ลูกศิษย์ที่บวชด้วย
ออกไปโปรดญาติโยมเป็นเนื้อนาบุญให้กับโยมพ่อโยมแม่ และญาติพี่น้องบ้าง
จึงเป็นภาพที่เป็นนิมิตหมายอันดี สำหรับการคืนลมหายใจให้แก่พระพุทธศาสนาในพื้นที่สีแดงของ
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
การที่เราปล่อยวางภาระหน้าที่ต่อพระศาสนาที่เราอาศัยอยู่ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
บางทีเราอาจจะคิดว่า เราเป็นผู้โชคดีที่สุด แต่ถ้าพลันนึกถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เราจะเป็นคนที่เสียดายที่สุด เสียดายที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
เกิดมาได้อาศัยร่มเงาพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งของชีวิต
แต่ไม่ได้ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนาเลย เหมือนเราได้อาศัยแม่ผู้ให้กำเนิด
แต่ไม่เคยตอบแทนพระคุณท่านเลย
โดย พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท
ขอบคุณเเหล่งข้อมูล http://www.komchadluek.net