วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำความรู้จัก "โรคซึมเศร้า" และวิธีการดูแล ฟื้นฟู จิตใจ
คุณมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่

รู้สึกเศร้าใจ หม่นหมอง หงุดหงิด หรือรู้สึกกังวลใจ ไม่สบายใจ
ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือสิ่งที่เคยให้ความสนุกสนานในอดีต
น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้น ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป
นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินกว่าปกติ
รู้สึกผิด สิ้นหวัง หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ความจำแย่ลง
อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง
กระวนกระวาย ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ
คิดถึงแต่ความตาย และอยากที่จะฆ่าตัวตาย
ถ้าหากคุณมีอาการเช่นนี้หลายข้อ เป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ คุณอาจจะกำลังเป็นโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า เป็นโรคหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของคนเรา เหมือนกับโรคทางกายอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลว หรือไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพียงการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง เกิดได้ทั้งมีสาเหตุ เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง ความผิดหวัง และเกิดได้เองโดยไม่มีสาเหตุใดๆ ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยการใช้ยา การรักษาทางจิตใจ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
สาเหตุของโรคซึมเศร้า
หากมีประวัติการเจ็บป่วยโรคนี้ในญาติของท่าน ก็เพิ่มการป่วยโรคนี้กับสมาชิกอื่นในบ้าน
แต่ก็มิได้หมายความว่า จะเป็นกันทุกคน
ปัจจัยที่กระตุ้นให้คนที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีโอกาสเกิดอาการก็คือ ความเครียด แต่ทั้งนี้คนที่ไม่มีญาติเคยป่วยก็อาจเกิดเป็นโรคนี้ได้ มักพบว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีความผิดปกติของระดับสารเคมี ที่เซลล์สมองสร้างขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของอารมณ์
สภาพจิตใจที่เกิดจากการเลี้ยงดูก็เป็นปัจจัยที่เสี่ยงอีกประการหนึ่งต่อการเกิดโรคซึมเศร้าเช่นกัน คนที่ขาดความภูมิใจในตนเองมองตนเองและโลกที่เขาอยู่ในแง่ลบตลอดเวลา หรือเครียดง่ายเมื่อเจอกับมรสุมชีวิต ล้วนทำให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น
นอกจากนี้ หากชีวิตพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดไม่ราบรื่น หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ปรารถนา ก็อาจกระตุ้นให้โรคซึมเศร้ากำเริบได้

สาเหตุที่จะกระตุ้นการเกิดโรคซึมเศร้าที่พบบ่อยก็คือ
การมีทั้งความเสี่ยงทางพันธุกรรม ทางสภาพจิตใจ ประจวบกับการเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย
ร่วมกันทั้ง 3 ปัจจัย
การรักษา
โรคซึมเศร้า สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการรักษาทางจิตใจ และการรักษาด้วยยาหลายชนิด โดยที่แต่ละคนอาจตอบสนอง ต่อการรักษาแต่ละชนิดไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการการรักษาหลายอย่างร่วมกัน การรับประทานยาจะทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว ในขณะที่การรักษาทางจิตใจจะช่วยให้คุณเหมือนมี “ภูมิคุ้มกัน” สามารถต่อสู้กับปัญหาที่จะย่างกรายเข้ามาได้ดีกว่าเดิม ส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคซึมเศร้าไม่จำเป็นต้องมานอนรักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างไร
เมื่ออาการของโรครุนแรง จนอาจมีอันตรายจากการพยายามฆ่าตัวตาย หรือผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา อาจให้การรักษาด้วยไฟฟ้า แต่จะใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
ยารักษาโรคซึมเศร้า
ในปัจจุบันยารักษาโรคซึมเศร้าแบ่งออกได้หลายกลุ่ม ตามลักษณะโครงสร้างทางเคมีและวิธีการออกฤทธิ์ คือ
กลุ่ม tricyclic   (คือยาที่มีโครงสร้างทางเคมีสามวง)
กลุ่ม monoamine oxidase inhibitors เรียกย่อๆ ว่า MAOI
กลุ่ม SSRI  (serotonin-specific reuptake inhibitor)

ซึ่งแต่ละกลุ่มมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ประสิทธิภาพการรักษาเท่าเทียมกัน แพทย์อาจเริ่มจ่ายยากลุ่มใดแก่ผู้ป่วย ก่อนก็ได้เพื่อดูผลตอบสนอง เนื่องจากเราไม่อาจทราบก่อนได้เลยว่า ผู้ป่วยคนใดจะ”ถูก”กับยาชนิดใด แล้วแพทย์จะค่อยๆปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับอาการต่อไป
ยารักษาโรคซึมเศร้าออกฤทธิ์โดยปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุล เป็นการรักษาโรคโดยตรง มิใช่เป็นเพียงยาที่ทำให้ง่วงหลับ จะได้ไม่ต้องคิดมากเช่นที่คนมักเข้าใจผิดกัน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักต้องการหยุดกินยาเร็วกว่าที่ควรเป็น ข้อสำคัญและพึงปฏิบัติที่สุดก็คือ การกินยาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าแพทย์จะบอกให้ท่านหยุด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตามยาบางตัวต้องค่อยๆลดขนาดลง เพื่อให้โอกาสร่างกายปรับตัว
ไม่ต้องกังวลว่า ยารักษาโรคซึมเศร้าเป็นยาที่กินแล้วติดหยุดยาไม่ได้อย่างไรก็ตาม ก็เช่นเดียวกับการรักษาโรคอื่นๆ แพทย์อาจให้ตรวจวัดระดับยาให้ถูกต้องกับอาการเป็นระยะๆ
สิ่งที่คุณหลีกเลี่ยงก็คือ การซื้อยากินเองจากร้านขายยา ยืมยาจากเพื่อน หรือกินยาจากแพทย์ท่านอื่นปนกับโรคซึมเศร้า โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน เช่นเดียวกับแพทย์คนอื่นหรือหมอฟันด้วยว่า ท่านกำลังกินยารักษา
โรคซึมเศร้าอยู่ อย่าวางใจว่า เป็นแค่ยาพื้นบ้านธรรมดา คงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอะไรร้ายแรง การดื่มแอลกอฮอล์จากเหล้า เบียร์ หรือไวน์ จะลดประสิทธิภาพของยาลง
ยานอนหลับหรือยาลดความกังวล ไม่ใช่ยาที่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้โดยลำพัง อย่างที่กล่าวแล้ว แม้ว่าบางครั้งแพทย์จะสั่งใช้ยาชนิดนี้ควบคู่ไปกับยารักษาโรคซึมเศร้า เพื่อบรรเทาอาการกังวลในระยะต้นของการรักษา และไม่ควรใช้ยากระตุ้นประสาทหรือยาม้าเพื่อหวังผลให้หายเพลียเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
ควรถามแพทย์ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาที่เกิดจากยา หรือเกิดปัญหาที่คิดว่าอาจเกิดจากยา
ผลข้างเคียง
ยารักษาโรคซึมเศร้ามีผลข้างเคียงอยู่บ้างกับผู้ใช้บางคนอันอาจก่อความรำคาญ แต่ไม่อันตราย อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกว่ามีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบ
ผลข้างเคียงต่อไปนี้มักเกิดจากกลุ่มยา tricyclics ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ถูกสั่งใช้บ่อยที่สุด และเราได้แนะนำวิธีบรรเทาผลข้างเคียงไว้ท้ายข้อแล้วดังนี้
1.ปากแห้งคอแห้ง - ดื่มน้ำบ่อยๆ เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
2.ท้องผูก - กินอาหารที่มีกาก หรือมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ผักผลไม้ เช่น ส้มโอ มะขาม มะละกอ
3.ปัญหาการถ่ายปัสสาวะ - อาจมีการถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่งเช่นเคย อาจใช้มือกอหน้าท้องช่วยและ  ปรึกษาแพทย์
4.ปัญหาทางเพศ - อาจมีปัญหาขณะร่วมเพศได้บ้าง ซึ่งปรึกษาแพทย์ได้
5.ตาพร่ามัว - อาการนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องตัดแว่นใหม่
6.เวียนศีรษะ - ลุกจากเก้าอี้ หรือเตียงช้าๆ ดื่มน้ำมากขึ้น
7.ง่วงนอน - อาการอาจหายไปเอง อย่าพยายามขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักร หากง่วงมากในช่วงเช้าให้เลื่อนยามื้อก่อนนอนมากินหัวค่ำกว่าเดิม
สำหรับกลุ่ม SSRI อาจมีผลข้างเคียงที่ต่างออกไป ดังต่อไปนี้
1.ปวดศีรษะ - อาจมีอาการสักช่วงหนึ่ง แล้วจะหายไป
2.คลื่นไส้ - มักเป็นเพียงชั่วคราว
3.นอนไม่หลับหรือกระวนกระวาย - พบได้ในช่วง 2 ถึง 3 สัปดาห์แรก ของการกินยา หากคงอยู่นานควรปรึกษาแพทย์

การเตรียมตัวรับมือกับโรคซึมเศร้า
โดยปกติเท่าที่มีการพบข้อมูลขณะทำการรักษา พบว่า ผู้ที่มีเกณฑ์จะเป็นโรคซึมเศร้ามักจะเริ่มเป็นตอนช่วงอายุ 25 ปี หลังจากนั้นก็จะเกิดอาการซึมเศร้าต่อเนื่องไปเป็นระยะยาว ถึงแม้ว่าจะมีการเข้ารับการรักษาแล้ว แต่ก็ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด การเป็นโรคซึมเศร้าก็จะมีความคล้ายคลึงการเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคความดัน ที่ถึงแม้จะไม่มีอาการให้เห็นแล้ว แต่ก็ต้องทานยาควบคุมไม่อาการกำเริบได้ แต่ข้อดีของการเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ตรงที่เมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยจะสามารถกลับมาใช้วิตได้เป็นปกติ บางคนมีสติปัญญาที่ดีขึ้น เป็นคนเก่ง ในบางรายสามารถเรียนได้ถึงในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก บางรายก็เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นคนที่สามารถประสบความสำเร็จในสังคมได้
ฉะนั้น เมื่อพูดถึงการรักษา หากผู้ป่วยรับประทานยาจนครบแล้ว แพทย์ที่ทำการรักษาก็จะให้หยุดยา และยังต้องคอยเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากว่ามันอาจจะกลับเป็นซ้ำอีกได้ อย่าง โรคมะเร็ง ที่เมื่อได้ฆ่าเชื้อมะเร็งให้หมดไปแล้ว แต่ก็ต้องเฝ้าดูว่าจะกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำอีกได้รึเปล่า โรคซึมเศร้าก็เช่นกัน การรับมือกับโรคนี้ก็ให้หมั่นสังเกตจากพฤติกรรมทั้ง 9 อย่างข้างต้น อย่าละเลยจนทำให้คนๆ หนึ่งต้องออกจากงาน เกิดการหย่าร้าง หรือทุบตีลูกโดยที่ไม่มีเหตุผล หากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เกิดเป็นโรคนี้ไปเลี้ยงลูกเข้า ลูกก็จะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา เมื่อเราเจอสัญญาณอันตรายก็ต้องรีบพาไปรักษาตั้งแต่เนื่อนๆ อย่ารอให้ผู้ป่วยมีความคิดที่ไม่ดีต่อตัวเอง อย่าง การฆ่าตัวตาย เราต้องพาเขาเข้าสู่กระบวนการรักษาและบำบัดให้ได้เร็วที่สุด

การรักษาทางจิตใจ
มีวิธีรักษาทางจิตใจอยู่หลายรูปแบบ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นการ”พูดคุย”กับจิตแพทย์ 10 ถึง 20 ครั้ง อันจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจกับสาเหตุของปัญหา และนำไปสู่การแก้ไขปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมองกับแพทย์ การรักษาทางพฤติกรรมจะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีที่จะได้รับความพอใจ หรือความสุขจากการกระทำของเขา และพบวิธีที่จะหยุดพฤติกรรมที่ อาจนำไปสู่ความซึมเศร้าด้วย
การรักษาอีก 2 รูปแบบต่อไปที่มีการศึกษาแล้วว่า สามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้ดี คือ
การรักษาแบบปรับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการรักษาแบบปรับความคิดและพฤติกรรม โดยการรักษารูปแบบแรกมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาระหว่าง ผู้ป่วยกับคนรอบข้างที่อาจ เป็นสาเหตุและกระตุ้นให้เกิดความซึมเศร้า ส่วนการรักษาแบบหลังจะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนความคิด และพฤติกรรมในแง่ลบกับตนเอง
ส่วนการรักษาโดยอาศัยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ก็นำมารักษาโรคนี้ โดยช่วยผู้ป่วยค้นหาปัญหาข้อขัดแย้งภายในจิตใจผู้ป่วย ซึ่งอาจมีรากฐานมาจากประสบการณ์ตั้งแต่เด็ก
โดยทั่วไปสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง มีอาการกำเริบซ้ำๆ จะต้องการการรักษาด้วยยาร่วมกับการรักษาทางจิตใจควบคู่กัน เพื่อผลการรักษาในระยะยาวที่ดีที่สุด
จะช่วยรักษาตนเองได้อย่างไร
การป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามักจะทำให้คุณรู้สึกเพลีย รู้สึกไร้ค่า เหมือนช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีความหวัง ความคิดในแง่ลบกับตนเองในแบบนี้ มักจะทำให้ผู้ป่วยบางคนท้อถอยและยอมแพ้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทราบว่าความคิดหรือความรู้สึก เหล่านี้เป็นเพียงแค่อาการของโรค มิได้สะท้อนเรื่องจริงในชีวิตของคุณอย่างถูกต้องแต่อย่างใด ความคิดเหล่านี้จะค่อยๆหมดไปเมื่อเริ่มต้นการรักษาไปสักระยะหนึ่ง
ในระหว่างนี้คุณควรจะ
อย่านำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน
อย่าตั้งเป้าหมายที่บรรลุได้ยาก หรือเข้าไปแบกความรับผิดชอบมากๆ
พยายามย่อยงานใหญ่ให้เป็นงานเล็ก เลือกทำที่สำคัญกว่าก่อน แล้วทำให้เต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้
อย่าคาดหวังกับตนเองมากเกินไป เพราะนั่นคือ คุณกำลังสร้างความล้มเหลว
ร่วมกิจกรรมที่คุณอาจเพลินใจ เช่น การออกกำลังกาย ดูหนัง ดูกีฬา เข้ากิจกรรมทางศาสนาหรือสังคม แต่อย่าหักโหมหรือหงุดหงิด ถ้ามันไม่ช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างทันใจ เพราะอาจใช้เวลาบ้าง
อย่าด่วนตัดสินใจกับเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต เช่น ลาออก เปลี่ยนงาน แต่งงาน หรือหย่า โดยไม่ปรึกษาคนอื่นที่รู้จักคุณดีและ มีมุมมองที่เป็นกลางต่อปัญหาพอ ไม่ว่าด้วยเหตุใด พยายามเลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน

เเหล่งข้อมูล Jelly Walker



วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เปิดทฤษฎีใหม่ ปริศนาการหายตัวไปอย่างลึกลับของจิม ทอมป์สัน ราชาผ้าไหมไทย เผยข้อมูลใหม่จาก 2 แหล่ง ระบุตรงกันว่า ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ในมาเลเซียสังหาร
           เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2560 เว็บไซต์เอเชียไทมส์ มีรายงานว่า แบร์รี โบรแมน ผู้สร้างภาพยนตร์สารคดี เรื่อง ใครฆ่าจิม ทอมป์สัน (Who Killed Jim Thompson) ได้เผยทฤษฎีใหม่ที่จะมาไขปริศนาเกี่ยวกับเรื่องราวการหายตัวไปของ จิม ทอมป์สัน ชายชาวอเมริกัน ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะตำนานราชาผ้าไหมไทย การหายตัวไปอย่างลึกลับของเขา นับเป็นหนึ่งในปริศนาอันเก่าแก่ของเอเชีย ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถหาคำตอบหรือคลี่คลายได้ โดยภาพยนตร์สารคดีเรื่องราวของ จิม ทอมป์สัน ที่อ้างว่าจะเป็นคำตอบไขปริศนาดังกล่าว จะถูกนำมาเปิดฉายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 6 ธันวาคม หลังจากที่เคยฉายรอบปฐมทัศน์ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติยูจีน สหรัฐอเมริกา

           รายงานเผยว่า ในวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2510 ในระหว่างที่ จิม ทอมป์สัน กำลังพักผ่อนกับเพื่อนอยู่ที่บ้านพัก Moonlight Cottage ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงบ่าย เขาได้ออกไปเดินเล่นที่บริเวณป่าบนเนินเขาในพื้นที่คาเมรอน ไฮแลนด์ ก่อนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น จิม ทอมป์สัน ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเขาอีกเลย การหายตัวของเขากลายเป็นปริศนามาเป็นเวลานานกว่าครึ่งศตวรรษ การออกค้นหาด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่เป็นผลสำเร็จ ไม่มีทั้งการติดต่อเรียกค่าไถ่ หรือข้อความใด ๆ ทิ้งไว้ มีผู้เขียนหนังสือหลายรายวิเคราะห์เกี่ยวกับชะตากรรมของเขาตามทฤษฎีต่าง ๆ ตั้งแต่การเสียชีวิตโดยธรรมชาติจากฝีมือของสัตว์ร้าย เช่นเสือ ไปจนถึงการถูกฆาตกรรม

  ทฤษฎีการค้นพบครั้งล่าสุดเกี่ยวกับปริศนาการหายตัวไปของ จิม ทอมป์สัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2556 โดย น้อย (Xuwicha Hiranpruek) ได้กล่าวว่า "ผมคิดว่า ผมอาจจะไขปริศนานี้ได้" น้อยได้ศึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนชาวสิงคโปร์ชื่อว่า เตียวปิน ซึ่งเป็นผู้ที่เริ่มแนวความคิดว่า "พรรคคอมมิวนิสต์มลายา (Party of Malaya หรือ CPM) ของประเทศมาเลเซีย เป็นผู้สังหารทอมป์สัน ในระหว่างที่เขาออกไปเดินเล่นในวันนั้น" ซึ่งนับว่าเป็นทฤษฎีใหม่

           โดยแนวคิดนี้ มาจากคำสารภาพของ เตียวป็อกฮวา ผู้เป็นลุงของเตียวปิน และเป็นอดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการอาวุโสของพรรคมานานหลายทศวรรษ และเคยร่วมต่อสู้กับอังกฤษ รวมถึงมาเลเซียในเวลาต่อมา

           โดยเตียวปินเผยว่า เตียวป็อกฮวา ลุงของเขา ได้เล่าว่า ในขณะที่ทอมป์สันไปถึงคาเมรอน ไฮแลนด์ เขาได้ขอติดต่อกับ ชินเป็ง เลขาธิการทั่วไปของพรรค CPM ซึ่งนับเป็นบุคคลสำคัญของพรรค และต่อมาได้กลายเป็นบุคคลที่ต้องการตัวมากที่สุดในมาเลเซีย การขอติดต่อบุคคลสำคัญของทอมป์สัน กลายเป็นการกระตุ้นความสงสัย อีกทั้งบ้านพัก Moonlight Cottage ซึ่งมีชื่อของทอมป์สันเป็นแขกที่เข้าพัก ครั้งหนึ่งยังเคยเป็นศูนย์บัญชาการท้องถิ่นของพรรคด้วย

           ในปี 2510 นั้น นับเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง สำหรับทอมป์สัน ชาวอเมริกันผู้มีอายุ มีพื้นเพทำงานเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรอง และต้องการจะติดต่อกับหนึ่งในบุคคลที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในประเทศมาเลเซีย ในขณะนั้นการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่จบ เกิดภาวะฉุกเฉินเริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งที่สอง และยังคงดำเนินไปจนกระทั่งคอมมิวนิสต์มลายูยอมจำนนในปี 2532 ทอมป์สัน อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังในขณะที่ทางพรรคดำเนินการตรวจสอบภูมิหลังของเขา โดยพวกเขาได้รับรู้ข้อมูลว่า ชาวอเมริกันคนนี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทอมป์สันจึงถูกสงสัยว่า เป็นสายลับ

           ในขณะนั้น การสื่อสารเป็นเรื่องยากสำหรับพรรค CPM พวกเขาขาดแคลนการใช้วิทยุติดต่อ ต้องอาศัยวิธีการส่งสาสน์ติดต่อกันภายในกลุ่มต่าง ๆ ที่กระจายกันอยู่ในประเทศมาเลเซีย รวมไปถึงสำนักงานใหญ่ของพวกเขาในชายแดนเบตง โดยสมาชิกพรรค CPM แต่ละคน จะมีวิธีการจัดการปัญหาด้านความปลอดภัยของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะดำเนินการตามท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีแนวโน้มที่ว่า ทอมป์สันอาจถูกฆ่าตายโดยสมาชิกพรรค CPM ในปี 2510 ก่อนพวกเขาจะทำลายหลักฐานทิ้งทั้งหมด

           อย่างไรก็ตาม เตียวปิน บอกว่า ข้อมูลที่เขาเล่ามานั้นไม่มีผู้ใดที่สามารถให้การยืนยันได้ แม้แต่ภรรยาและลูกของลุงผู้เปิดเผยเรื่องดังกล่าว


          
สำหรับ จิม ทอมป์สัน เขาไม่ใช่แค่พ่อค้าผ้าไหม เขายังเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน มาจากครอบครัวเดลาแวร์ เขามีบทบาทสำคัญในการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (OSS) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยภายหลังสงครามในยุโรปสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 2488 เจ้าหน้าที่ OSS ที่มีผลงานโดดเด่น ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ตามเขตปฏิบัติการสงคราม จีน-พม่า-อินเดีย ซึ่งทอมป์สัน ก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการคัดเลือก ในประเทศไทย ทอมป์สัน ได้กลายเป็นเพื่อนกับอดีตนายกรัฐมนตรี ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ OSS บางราย ที่ได้ผันตัวไปเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ

           การสืบค้นปริศนาของทอมป์สัน เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ โดยน้อย ได้เผยข้อมูลต่อ แบร์รี โบรแมน ระบุว่า เขาได้ข้อมูลแหล่งที่สองซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการถูกสังหารในข้างต้น โดยเป็นข้อมูลจาก วิลลิส เบิร์ด จูเนียร์ เพื่อนของน้อย ซึ่งมีข้อมูลที่เก็บเป็นความลับ และไม่เคยเปิดเผยกับใครมานานกว่า 50 ปี โดยเขาเผยว่า พ่อของเขาคือ วิลลิส เบิร์ด ซีเนียร์ เป็นเพื่อนสนิทของทอมป์สัน พ่อและทอมป์สันได้มีโอกาสใกล้ชิดกับปรีดี เมื่อครั้งที่ปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2489 จากนั้นในปี 2509 วิลลิสได้บอกกับทอมป์สันว่า ปรีดีซึ่งขณะนั้นถูกเนรเทศไปยังจีน ต้องการให้วิลลิสไปพบ ซึ่งวิลลิสคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดี เนื่องจากขณะนั้นสหรัฐฯ และไทยต่างมีส่วนร่วมอย่างมากในสงครามเวียดนามและลาว วิลลิสจึงไม่ต้องการจะติดต่อใด ๆ กับปรีดี แต่ทอมป์สันมีความภักดีต่อปรีดี และบอกว่า เขาจะเผชิญเส้นทางอันตรายนี้เอง

           และเส้นทางอันตรายแรกคือ คาเมรอน ไฮแลนด์ วิลลิส กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์มลายาเป็นผู้ฆ่าทอมป์สัน และอาจจะเป็นไปตามคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน

           จากข้อมูลของวิลลิสผู้พ่อ และเตียวป็อกฮวา ลุงของเตียวปิน ทำให้ได้ข้อสรุปออกมาในทิศทางเดียวกันว่า ทอมป์สันถูกสังหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ขณะที่อยู่ที่มาเลเซีย

           ทั้งนี้ แบร์รี โบรแมน ยังทิ้งท้ายว่า ทอมป์สันไม่ได้ตั้งใจเข้าไปมีส่วนร่วมและตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ทางอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ดี คำถามที่ยังคงค้างคาอยู่คือ ทำไมทอมป์สันถึงต้องขอพบบุคคลสำคัญของพรรคอมมิวนิสต์มลายา จนตกเป็นเป้าน่าสงสัย และนำชีวิตของเขาไปตกอยู่ในอันตราย มันเป็นเรื่องน่าขันที่ ทอมป์สัน ผู้ที่วางมือจากการเป็นสายลับ และหันหลังให้กับการเมือง กลับพาตัวเองกลับเข้าไปในเกมเพื่อที่จะช่วยเหลือเพื่อนเก่า ?

ภาพจาก jimthompson.com
ข้อมูลจาก
fccthai.com,

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget