มีเรื่องในอดีตที่แทบจะเป็นความลับระหว่าง
กองทัพนาซี และหน่วยมอสสาด ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับที่เลื่องชื่อของประเทศอิสราเอล
ซึ่งดูเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่กลับจ้างคนทำงานคนเดียวกัน และคนๆนั้นไม่ใช่คนระดับธรรมดาเสียดาย
แต่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยรบพิเศษของนาซี หรือช่วงนั้นคือ
หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ(SS)ของฮิตเลอร์ด้วย
พันโทอ๊อตโต้ สกอร์เซนี่ นายทหารชาวเยอรมันแท้ๆ ซึ่งมีความสูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว และมีรอยบากที่หน้า ทำงานให้กองทัพเยอรมันในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ผลงานการทำงานยอดเยี่ยม จนได้รับการกล่าวขานจากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ และอเมริกา ในสมัยนั้นว่า เป็น บุคคลอันตรายที่สุดในยุโรป อ๊อตโต้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงให้กับตัวเองหลายเหตุการณ์ อาทิเช่น ในปี 1943 เขาอยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือ มุสโสลินีให้หนีรอดในช่วงที่เขาถูกโค่นล้มโดยรัฐบาลอิตาลี นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมในการยึดครองประเทศฮังการีหลังจากที่รัฐบาลหุ่นของฮังการี ได้แอบเจรจาสงบศึกกับโซเวียตลับหลังฮิตเลอร์ในปี 1944 ซึ่งเหตุการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมนี้ทำให้มีการส่งตัวชาวยิวนับหมื่นคนที่หลงเหลือ มีชีวิตอยู่ในฮังการี ต้องถูกส่งไปยังค่ายกักกัน และเสียชีวิตไปในค่ายเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาอาจจะได้รับมอบภารกิจในการลอบสังหาร ประธานาธิบดีรูสเวลดท์ ,นายกรัฐมนตรีเชอชิล และแม้กระทั้งสตาลินที่กรุงเตหะราน แต่เนื่องจากมีข่าวรั่วออกมาก่อน แผนการลอบสังหารที่จึงได้ถูกยกเลิกไป
แต่ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
อ๊อตโตได้ถูกจับกุมโดยประเทศสหรัฐอเมริกา และระหว่างถูกจำขังเพื่อรอการพิจารณาโทษ
ในปี 1947 เขาก็สามารถหนีออกไปได้ โดยเล่ากันว่ามีลูกน้องทหารหน่วย SS
ของเขาได้ปลอมตัวเป็นทหารอเมริกันลอบเข้าไปพาเขาหลบหนีออกไปได้ แต่ตัวเขาเองให้การภายหลังจากการเขียนบันทึกส่วนตัวว่า
ทางการสหรัฐฯได้ยินยอมให้เขาหนีออกไปเอง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ไปตั้งรกราก
สร้างชีวิตใหม่ที่สเปนในปี 1950
แต่แล้วช่วงปี
1962 หน่วยมอสสาด ได้นำตัวไอค์มันน์ หรือ
อดอล์ฟ ไอชมันน์ ผู้สั่งรมแก๊สชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งถูกจับกลุมได้ที่อาร์เจนตินา โดยสายลับหน่วยมอสสาดและส่งตัวมากักขัง และขึ้นศาลที่นครเยรูซาเล็ม
และสุดท้ายก็โดนประหารในที่สุด ทำให้เหล่าอดีตทหารนาซีที่ยังหลบหนี และมีชีวิตอยู่ตามประเทศต่างๆเกิดความหวั่นวิตก
และเมื่อยิ่งมีรายชื่อตามล่าอดีตนาซี ที่จัดทำโดย ซิมอน วีเซนธาน
นักล่านาซีหลุดรอดออกมา ยิ่งทำให้เกิดความกลัวจนแทบเสียขวัญอีกด้วย
ปะเหมาะกับช่วงนั้นประเทศอิสราเอลกำลังพบกับสงครามรอบด้าน โดยฝ่ายตะวันออกกลางนำโดยอียิปต์ที่มุ่งโจมตีประเทศนี้อยู่ ซึ่งอียิปต์ได้จ้างเหล่านักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันอดีตนาซี เข้ามาทำวิจัยผลิตจรวดขีปนาวุธที่ยิงออกจากอียิปต์แล้วไปตกตรงไหนก็ได้ของอิสราเอลตามที่ต้องการ หน่วยมอสสาดจึงจำเป็นจะต้องหยุดยั้งโครงการยิ่งถล่มประเทศนี้ให้ได้ หัวหน้าหน่วยมอสสาดภาคพื้นยุโรปในขณะนั้นคือ ราฟฟี่ ไอทาน ได้เสนอวิธีการ เกลือจิ้มเกลือ คือ ให้เยอรมันจัดการเยอรมันด้วยกันเอง เขาจึงเสนอให้จ้าง พันโทอ๊อตโต้ สกอร์เซนี่ ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ที่สเปนมาจัดการเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายๆฝ่ายมองว่าไม่สามารถเป็นไปได้
แต่ทว่าในปี
1962 สายลับมอสสาดสองคนที่ปลอมตัวเข้าไปในสเปน และตีสนิทกับ สกอร์เซนี่และภรรยาที่ผับแห่งหนึ่งได้สามารถเจรจา
ตกลงเงื่อนไขการทำงานกับสกอร์เซนี่ได้ โดยสกอร์เซนี่ไม่ได้ต้องการเงินตอบแทนใดๆ แต่ขอสิ่งตอบแทนเป็นการถอดชื่อเขาออกจากแฟ้มบัญชีดำของกลุ่มนักล่านาซีด้วย
ซี่งหน่วยมอสสาดก็พยายามที่จะถอดถอนชื่อออก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจาก
ซิมอนไม่ยอมตกลง จนท้ายที่สุดหน่วยมอสสาดก็ได้ใช้อุบายปลอมเอกสารขึ้นมา แล้วเอามาให้สกอร์เซนี่ดูว่าไม่มีชื่อแล้ว ทางสกอร์เซนี่จึงเริ่มภารกิจไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ทางโทรศัพท์
หรือส่งจดหมาย ลอบวางระเบิด
ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกและทำงานให้งานวิจัยของอียิปต์อยู่
แผนการลอบสังหารนี้เป็นไปด้วยดีโดยไม่มีใครรู้เลยว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง แม้กระทั่ง
ไฮนซ์ ครู้ก
หนึ่งในหัวหน้าโครงการวิจัยนี้หวาดผวากับเหตุการณ์ล่าสังหาร ต้องจ้างสกอร์เซนี่มาคุ้มครอง
โดยที่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสกอร์เซนี่เองก็รับงานของหน่วยงานมอสสาดมาอีกที แล้ววันหนึ่งเขาก็หายตัวไปจากเมืองมิวนิค
เยอรมีระหว่างเดินทางไปทำงานอย่างไร้ร่องรอย หลังจากในตอนเช้ามีสกอร์เซนี่และทีมงานไปรับเขาเพื่อไปส่งทำงาน
ว่ากันว่า สกอร์เซนี่ได้ยิงเขาทิ้งและใช้น้ำกรดละลายศพเพื่อไม่ให้มีหลักฐานแล้วฝังไว้ในป่าที่เยอรมนี
จากนั้นตั้งแต่ปี 1965 ก็ไม่เหลือนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันทำงานให้อียิปต์อีกแม้เพียงคนเดียว
ในบั้นปลายชีวิต
อ๊อตโต สกอร์เซนี่
ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรื่อยมาในสเปน โดยไม่มีหน่วยมอสสาด หรือใครมายุ่งกับเขาอีก
จนถึงปี 1975 เขาก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดด้วยอายุ 67 ปี
ในงานศพของเขาบรรดาเหล่าเพื่อนฝูงได้มีการแสดงการไว้อาลัยด้วยการเคารพแบบนาซี และมีการร้องเพลงนาซีอย่างเปิดเผย
โดยไม่มีใครที่มาร่วมงานศพนั้นได้รู้เลยว่า บุคคลที่นอนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเคยเป็นพวกที่หักหลังพวกเดียวกัน
และเคยเป็นสายลับทำงานให้กับอิสราเอลมาก่อนเลย...
ขอขอบคุณเเหล่งภาพ google.com
เเหล่งข้อมูลบางส่วนจาก The Wild Chronicles Group