วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559


จากคำถามที่ว่า  พระพุทธรูปวัดพระธรรมกายมิได้สอดคล้องกับพุทธศิลป์ใดเลย  แต่สร้างขึ้นมาตามจินตนาการของท่านเจ้าอาวาสใช่หรือไม่?

วันนี้เรามีคำตอบ

                   พระพุทธรูปวัดพระธรรมกายมีความสอดคล้องกับศิลปะคันธาระ (Gandhara) ศิลปะอมราวตี (Amaravati) และศิลปะสมัยนาคารชุนโกณฑะ (Nagarjunakonda)

       เมื่อพิจารณาพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดย วัดพระธรรมกายทั้งในส่วนของงานประติมากรรม และภาพนิ่งนั้นจะเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็นสองหมวดหมู่ คือ พระพุทธรูปที่มีขมวดพระเกศา  และเกตุดอกบัวตูมกับพระพุทธรูปที่มีขมวดพระเกศาแต่ไม่มีเกตุดอกบัวตูม

      จากการให้สัมภาษณ์ของพระครูสังฆรักษ์รังสฤษฏ์  อิทฺธิจินฺตโก  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  ประธานโครงสร้างพระธรรมกาย 1,000,000 องค์  เพื่อประดิษฐาน ณ  มหาธรรมกายเจดีย์ ทำให้ทราบว่าโดยหลักทางประติมานวิทยาแล้ว พระพุทธรูปที่มีขมวดเกศาและเกตุดอกบัวตูมนั้นสื่อถึง องค์พระธรรมกายที่เข้าถึงได้จากประสบการณ์ภายในของการปฏิบัติสมาธิ  เรียกพระพุทธรูปประเภทนี้ว่า พระธรรมกาย ส่วนพระพุทธรูปมีขมวดพระเกศา แต่ไม่ปรากฏเกตุดอกบัวตูมนั้น สื่อถึงพระพุทธเจ้าในรูปของกายมนุษย์ที่ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ 32  เรียกพระพุทธรูปดังกล่าวนี้ว่า พระพุทธเจ้า

          ลักษณะที่โดดเด่นและเหมือนกันของพระพุทธรูปทั้งสองแบบ คือ พระเกศาขมวดวนไปทางขวาคล้ายรูปก้นหอย  รูปร่างกลมกลึง แขนขาเรียวยาว  นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับซ้าย (Halflotus position) มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย  นุ่งห่มจีวรบางแนบร่างเพื่อเน้นสรีระของมหาบุรุษ   ให้เห็นเด่นชัด  เมื่อเปรียบเทียบพระพุทธรูปของวัดพระธรรมกายกับรูปเคารพของพระพุทธเจ้า ในพุทธศาสนายุคต้นอย่างศิลปะคันธาระ

ก็พบว่าลักษณะการวางมือ  ความกลมกลึงและเต็มตึงของร่างกายของพระพุทธรูปของพระธรรมกายไปสอดคล้องต้องกันกับการวางมือ ของพระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะคันธาระองค์หนึ่งที่ที่ราบเปชวาร์  ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมภาคตะวันออกของประเทศอัฟกานิสถาน และพื้นที่บางส่วนในกัศมีร์ (Kashmir) ในอดีตเมื่อราวพุทธศักราชที่ 200-300 ดินแดนแห่งนี้คือสถานที่หนึ่งในการปักหลักของพระพุทธศาสนาดั้งเดิมหรือหินยานมาก่อน
         พระพุทธรูปดังกล่าวมิได้เป็นผลงานศิลปะตามอย่างอิทธิพลของกรีกล้วนๆแต่มีส่วนผสมผสานของลักษณะท้องถิ่นนั่นคือ แม้พระพุทธรูปจะมีจมูกโด่งเป็นสัน แต่ส่วนคางนั้นกลับกลมป้อมเหมือนลักษณะใบหน้าของชายชาวอินเดียส่วนใหญ่  มวยผมและเส้นผมมิได้เป็นคลื่นหยักศกหมือนศิลปะกรีกแต่มีลักษณะม้วนขดเป็นกลุ่มก้อนคล้ายก้นหอยมากขึ้น  พระพุทธรูปดังกล่าวประทับนั่งอยู่บนแท่นพระอาสน์ในท่านั่งสมาธิ 


ดวงตาทั้งสองมิได้ปิดสนิทเหมือนการนอนหลับแต่เปลือกตาปิดลงมาเพียงครึ่งเดียวสายตามองต่ำ  ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย บ่งบอกถึงอารมณ์สุขสงบจากการบำเพ็ญภาวนา  มือทั้งสองมิได้วางซ้อนกันสนิทเหมือนพระพุทธรูปปางสมาธิอื่นๆของศิลปะคันธาระ และศิลปะอื่นๆในยุคหลังที่พบเห็นกันทั่วไป  แต่กลับวางมือขวาทับบนมือซ้ายให้ปลายนิ้วชี้ของมือข้างขวาจรด หรือแตะเบาๆตรงปลายนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
       แม้พระพุทธรูปคันธาระปางสมาธิลักษณะนี้จะมีให้เห็นไม่มากนัก  ส่วนหนึ่งอาจเพราะถูกทำลายไปจากภัยธรรมชาติหรือจากกาลเวลา  และถูกทำลายไปจากภัยต่างศาสนา  แต่พยานทางวัตถุที่มีปรากฏให้เห็นแม้เพียงหนึ่งเดียวในขณะนี้ก็ทำให้ทราบได้ว่าลักษณะของพระพุทธรูปของวัดพระธรรมกายที่มีความสอดคล้องกับพระพุทธรูปปางสมาธิของศิลปะคันธาระโดยเฉพาะรูปแบบของการวางมือ  เส้นผมที่ขมวดไปทางขวาเป็นขดหอย และความเต็มตึงหรือกลมกลึงของกายมหาบุรุษ ก็เป็นข้อยืนยันว่าวัฒนธรรมการสร้างพระพุทธรูปตามแบบของวัดพระธรรมกายนั้น  มีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของงานพุทธศิลป์ทางพระพุทธศาสนา

      นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของกายมหาบุรุษที่วัดพระธรรมกายพยายามถ่ายทอดออกมา ผ่านทางรูปประติมากรรมของพระธรรมกายหรือของพระพุทธเจ้านั้น  ก็ยังไปสอดคล้องกับลักษณะของกายมหาบุรษที่ถ่ายทอดออกมาสู่รูปเคารพของพระพุทธเจ้าในศิลปะสมัยอมราวตี และนาคารชุนโกณฑะ  ราวพุทธศักราชที่ 700-800 และ700-900 ตามลำดับ  โดยพระพุทธรูปยุคต้นของทั้งสองเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกันในแถบอินเดียใต้จะมีร่างกายที่กลมกลึง  สูงใหญ่ แขนขายาวแตกต่างจากพระพุทธรูปของประเทศไทยที่มุ่งเน้นความสวยงามอ่อนช้อยของพุทธศิลป์ทำให้พระพุทธรูปมีรูปลักษณะไหล่กว้าง  เอวคอด หรือบอบบางอ้อนแอ้นเป็นต้น


        ข้อสังเกตอีกอย่างที่แม้พระพุทธรูปของวัดพระธรรมกายจะมีทั้งแบบที่ลืมตาเต็มดวง  และหลับตาครึ่งค่อนดวง  แต่หลักสูตรในการสอนสมาธิปฏิบัติของพระเทพญาณมหามุนี  ตามแบบวิชชาธรรมกาย จะบอกวิธีในการปฏิบัติสมาธิแก่ผู้ฝึกปฏิบัติเสมอถึงวิธีการหลับตาเพียงค่อนดวง ซึ่งสอดคล้องกับพระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะคันธาระดังกล่าวรวมถึงการวางมือวางเท้า และวางใจเพื่อการปฏิบัติสมาธิที่ให้ผลดีและนั่งได้นานๆว่า

ให้หลับตาเหมือนเราปรือๆตานิดหน่อย  หลับตาสักค่อนลูกในระดับที่เรารู้สึกสบาย และก็ผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย  ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย

    สิ่งสอดคล้องดังกล่าวทั้งในส่วนเนื้อหาคำสอน ของสมาธิปฏิบัติของวัดพระธรรมกายและงานพุทธศิลป์คันธาระข้างต้น จึงเป็นข้อยืนยันที่ดีเยี่ยมว่าแบบแผนประเพณี หรือรูปแบบการปฏิบัติของกลุ่มชาวพุทธนั้นๆมักได้รับการถ่ายทอดออกมาสู่งานพุทธศิลป์อีกทางหนึ่งเพื่อแสดงถึงความรู้ หรือวิธีการปฏิบัติของพวกเขาต่อชนรุ่นหลัง และจากความคล้ายคลึงกันของพระพุทธรูปปางสมาธิ ของทั้งสองยุคสมัยข้างต้น ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าแบบแผนในการปฏิบัติสมาธิของทั้งสองยุคสมัยนั้น อาจมีความคล้ายคลึงกันด้วย



แหล่งที่มา: สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย.ถาม-ตอบข้อสงสัยเรื่องธรรมกาย 1.2558
รูปภาพ : himalayanbuddhistart.wordpress.com

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559


มื่อวันที่ 4 ส.ค.2558
วลาดิเมียร์ ปูติน
ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต
พูดต่อรัฐสภา และกล่าวสุนทรพจน์
เกี่ยวกับความตึงเครียด
ที่มีต่อชนกลุ่มน้อยในรัสเซีย

: ในสหภาพโซเวียต
เราอาศัยอยู่ตามแบบอย่างของชาวรัสเซีย
หากชนกลุ่มน้อยต้องการเข้ามาพำนักอาศัย
เข้ามาทำงาน หรือมีกินมีใช้อยู่ในรัสเซียแล้ว
ก็ควรจะพูดภาษารัสเซีย และให้ความเคารพ
ต่อกฎหมายของรัสเซีย
เมื่อใดก็ตามที่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้
ให้ความสำคัญหรือชอบกฎหมายของ
อิสลามมากกว่า อีกทั้งยังต้องการมีชีวิต
ตามแบบชาวมุสลิม เราขอแนะนำให้
ชนกลุ่มน้อยพวกนี้ ออกไปยังสถานที่
ซึ่งมีกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้
รัสเซียไม่ต้องการชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม
แต่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ต้องการอยู่ในรัสเซีย
เราจะไม่ยินยอมในการให้สิทธิพิเศษ
หรือข้อได้เปรียบใดๆ ต่อชนกลุ่มน้อย
หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายของเรา
เพียงเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเขา
ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนก้องว่า เราแบ่งพรรค
แบ่งพวก หรือเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ยอม
ให้เกิดการขาคความเคารพ
ต่อวัฒนธรรมของรัสเซีย

ถ้าต้องการให้รัสเซีย ยังคงอยู่ต่อไปนั้น
เราได้เรียนรู้แล้วจากอัตวินิบาตกรรม
ที่เกิดขึ้นในอเมริกา อังกฤษ ฮอลแลนด์ และฝรั่งเศส
ชาวมุสลิมสามารถเข้าไปควบคุมประเทศเหล่านั้นได้
แต่จะไม่สามารถเข้ามามีอำนาจในรัสเซีย
ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติของรัสเซีย
ไม่สามารถเข้ากับการไม่มีวัฒนธรรม
หรือวิถีแบบดั้งเดิมของกฎหมายอิสลาม
(Sharia Law) และชาวมุสลิม

เมื่อนักการเมือง
(คนที่ควรค่าแก่การให้เกียรติตามกฎหมาย)
พิจารณาถึงการร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมา
ความสนใจอันดับแรก ที่ยังคงอยู่ในใจของชาวรัสเซีย
และกล่าวเป็นเสียงเดียวกันได้ก็คือ

ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม ไม่ได้เป็นคนรัสเซีย :

นักการเมืองในรัฐสภารัสเซีย

ลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างดัง

และยาวนานถึง 5 นาทีให้แก่ปูติน






มาดามญู แห่งเวียดนามใต้ สตรีผู้จารึกบทเรียน ที่โลกไม่ควรลืม


http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14344302471434430309l.jpg
มาดามญู (Photograph: John Loengard/Time & Life Pictures)

ในสมัยที่เวียดนามยังแบ่งเป็น "เวียดนามเหนือ" กับ "เวียดนามใต้" ครั้งนั้นตระกูลโง ดินห์ เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวียดนามใต้ และบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามอย่างสิ้นเชิง ก็คือ มาดามโง ดินห์ ญู ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังบัลลังก์ โง ดินห์ เสี่ยม ประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามใต้ (ค.ศ.1955-1963)

มาดามโง ดินห์ ญู หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า มาดามญู เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากคำล่ำลือในความโหดร้าย ทว่ามีบางส่วนที่ชื่นชมเธอ ระหว่างปี ค.ศ.1955-1963 ถือเป็นช่วงที่ตระกูลโงและมาดามญูขับเคลื่อนเวียดนามใต้

เหตุใด? สตรีเวียดนามผู้นี้จึงครองอำนาจในช่วงที่สถานการณ์ของสงครามเย็นคุกรุ่น

จากทายาทชนชั้นสูง สู่ ′สตรีหมายเลขหนึ่ง′


 มาดามโง ดินห์ ญู หรือมาดามญู มีชื่อจริงว่า เจิ่น เหล่ะ ซวน (Tran Le Xuan) เป็นภรรยาของ "โง ดินห์ ญู" น้องชายแท้ๆ ของประธานาธิบดีโง ดินห์ เสี่ยม 

เธอและสามีเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโง ดินห์ เสี่ยม เวทีการเมืองโลกรู้จักเธอในฐานะ "สตรีหมายเลขหนึ่ง" แห่งเวียดนามใต้ 

มาดามญูเกิดในตระกูลชนชั้นสูงในฮานอย พ่อกับแม่ใกล้ชิดกับกษัตริย์หลายพระองค์ โดยพ่อของเธอเป็นทูตสาธารณรัฐเวียดนามประจำสหรัฐอเมริกา หลังจากพบกับโง ดินห์ ญู และแต่งงานกัน เธอก็เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกตามสามี

มรกตวงศ์ ภูมิพลับ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ตั้งข้อสังเกตถึงภูมิหลังของมาดามญู ว่า

"เธอเป็นคนหัวสมัยใหม่ ทันสมัย หัวก้าวหน้า เป็นลูกหลานชนชั้นนำที่เป็นสตรีจำนวนไม่มากที่ได้รับการศึกษาในขณะนั้น ขณะที่ครอบครัวมีลักษณะเป็นแนวอนุรักษนิยมมากๆ เนื่องจากมีเชื้อสายของกษัตริย์ราชวงศ์

เหงวียนอยู่ น่าสนใจที่เธอเองไม่ค่อยจะลงรอยกับครอบครัวตัวเองนัก หนังสือชีวประวัติของเธอก็ยังเล่าด้วยว่าเธอตกลงแต่งงานกับโง ดินห์ ญู เพราะต้องการออกจากครอบครัวตัวเองด้วย" 

เจิ่น เหล่ะ ซวน ศึกษาจากโรงเรียน Lycee Albert Sarraut ในกรุงฮานอย โรงเรียนนี้ก่อตั้งในสมัยที่เวียดนามยังอยู่ภายใต้อาณานิคมฝรั่งเศส เพื่อวางระบบการศึกษาในเวียดนามโดยเชื่อว่าการศึกษาในระบบจะสร้างผู้นำที่ให้ความร่วมมือกับฝรั่งเศสได้ โดยชื่อของโรงเรียนนี้มาจากชื่อของ Albert Sarraut ข้าหลวงชาวฝรั่งเศสนั่นเอง เหตุนี้ทำให้มาดามญูเชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสมากกว่า สามารถอ่านและเขียนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถเขียนภาษาเวียดนามได้ เพียงพูดได้เล็กน้อยเท่านั้น

นอกจากนี้ เธอยังปฏิเสธแนวคิดจารีต แต่มุ่งสู่ความทันสมัยมากกว่า





(ซ้าย) ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม กับทูตสหรัฐอเมริกา เฮนรี่ ลอดจ์ มิตรแท้ซึ่งภายหลังกลายเป็นศัตรูที่เกลียดชัง ภาพจาก http://www.allposters.com
(บน) มาดามญู กับสามี ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ภาพจาก www.flickriver.com
(ล่าง) ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ถูกสังหารโดยคณะปฏิวัติ อันเป็นจุดจบของรัฐบาลครอบครัวโง ดินห์ ภาพจาก http://jonathanwar.wordpress.com


สตรีผู้โหดเหี้ยม หรือ แพะรับบาป?



ผลงานโบดำชิ้นเอกของเธอคือ การออกนโยบายปราบปรามพุทธศาสนาในเวียดนามใต้อย่างรุนแรง มาดามญูได้รับมอบหมายให้ควบคุมกองกำลังพิเศษ ควบคุมการทำงานของ พ.อ.เล กวางตึง ผู้ออกคำสั่งทำลายวัดพุทธและชาวพุทธ นำมาสู่การเผาร่างกายของภิกษุหลายรูปเพื่อประท้วงรัฐบาล

แม้เหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย แต่เธอยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉยและไม่ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จุดแตกหักมาจากคำให้สัมภาษณ์ของเธอว่า "I would clap hands at seeing another monk barbecue show" หรือ "ฉันจะปรบมือให้เมื่อได้ดูโชว์บาร์บีคิวพระ" 

คะแนนนิยมของรัฐบาลประธานาธิบดีโง ดินห์ เสี่ยม ลดลงเรื่อยๆ จนนำมาสู่การคัดค้านขององค์การสหประชาชนในการปกครองของรัฐบาลนี้ รวมถึงขอเข้าตรวจสอบสถานการณ์ในเวียดนามใต้ขณะนั้น และงดการสนับสนุนกองกำลังทหารจากสหรัฐที่มีให้กับรัฐบาลโง ดินห์ เสี่ยม ด้วย

มรกตวงศ์ แสดงความเห็นว่า รัฐบาลโง ดินห์ เสี่ยม บริหารประเทศในช่วงแรกเขาคือความหวัง เป็นบุคคลที่จะเอาไว้ต่อสู้กับรัฐบาลเวียดนามเหนือ ในสมัยแรกของเสี่ยม ดูท่าเวียดนามใต้จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ทว่า สถานการณ์กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อต่อมาเวียดนามใต้ประสบกับปัญหาการบริหารประเทศมากมาย สถานการณ์ที่วิกฤตอยู่แล้วกลับเพิ่มขึ้นทวีคูณเมื่อมีคำกล่าวของ
มาดามญู ออกมา ประธานาธิบดีสหรัฐช่วงนั้นมองว่าเธอคือหายนะของเวียดนามใต้ ถ้ามองในแง่ของเพศวิถีแล้วสิ่งที่เธอพูดผนวกกับการที่เธอเป็นผู้หญิง จึงเหมาะจะเป็นกระโถนท้องพระโรงที่จะถูกยัดเยียดความล้มเหลว ความบาป ความปราชัยทั้งหมดเอาไว้ ทั้งๆ ที่คนอย่างสามีของเธอก็เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างมากและก็เป็นส่วนหลักของการออกนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเสี่ยม เช่นกัน แต่มักไม่ถูกรุมประณามเท่ากับ ตัวมาดาม ญู

นอกจากนี้ ผู้สนใจประวัติศาสตร์เวียดนามอย่างนาย Nguyen Bao Khanh จากมหาวิทยาลัยฮานอย ซึ่งศึกษาประวัติของมาดาม ญู และเวียดนามใต้ช่วงนั้น บอกว่า ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ไม่น่าจะรู้จักเธอแล้ว แต่สิ่งที่เธอทำก็น่ารังเกียจอยู่ คือ การด่า ดูหมิ่นศาสนา แม้ตนจะไม่มีศาสนา แต่เมื่อได้ศึกษาประวัติของมาดามญูแล้วก็รับไม่ได้

แม้แต่คนที่ไม่ได้นับถือศาสนา ก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับมาดาม ญู

พระทิจ กว๋าง ดึ๊ก เผาตัวเองเพื่อประท้วงการบริหารงานของรัฐบาลครอบครัวโง ดินห์ ภาพจาก http://thuvienhoasen.org

บทเรียนจาก ′มาดาม ญู′ ที่โลกไม่ควรลืม

ความผิดพลาดของรัฐบาลโง ดินห์ เสี่ยม ไม่ใช่เพียงการดำเนินนโยบายต่อต้านศาสนาพุทธ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่นำไปสู่การหมดอำนาจ ได้แก่ การสร้างรัฐบาลชุดครอบครัวขึ้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองล้วนเป็นญาติสนิท มิตรสหายของโง ดินห์ เสี่ยม ทั้งสิ้น และการเลือกข้างอยู่กับสหรัฐของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้กลุ่มแนวร่วมปลดแอกที่มีความเป็นชาตินิยมสูงมุ่งต่อต้านอำนาจจากภายนอก ยิ่งต่อต้านเสี่ยม มากขึ้น แต่ในภายหลังเมื่ออเมริกาเลิกสนับสนุนรัฐบาลโง ดินห์ เสี่ยม กาลอวสานจึงได้บังเกิดขึ้นกับครอบครัวโง ดินห์ 

แน่นอนว่าการเสื่อมอำนาจของรัฐบาลเสี่ยม เป็นเรื่องเดียวกับการหมดอำนาจของมาดามญู และสามีของเธอ 

จุดสิ้นสุดอำนาจของตระกูลโง ดินห์ คือ การรัฐประหารของกลุ่มกองกำลังภายใต้การนำของเซือง วัน มิงห์ เมื่อ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1963 หนึ่งเดือนหลังเหตุการณ์พระสงฆ์เผาตัวเพื่อประท้วงรัฐบาล คณะรัฐประหารให้เหตุผลว่าไม่อาจทนดูการปกครองของรัฐบาลโง ดินห์ เสี่ยม ได้อีกต่อไป เพราะใช้ความรุนแรงกับประชาชน และเอื้อประโยชน์กับครอบครัวตัวเอง ภายหลังการรัฐประหารทั้งโง ดินห์ เสี่ยม และโง ดินห์ ญู ได้ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนมาดามญูนั้นได้หลบหนีออกนอกประเทศ และได้ตั้งรกรากที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

อาจารย์จากรั้วแม่โดมทิ้งท้ายถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า ประวัติศาสตร์ก็มีหลายด้าน บางครั้งก็ไม่สามารถตัดสินให้เป็นขาวกับดำ มาดาม ญู มักถูกตราหน้าว่าเป็นเหตุที่ทำให้เวียดนามใต้พ่ายแพ้ ไม่ปฏิเสธว่านั่นคือท่าทีของเธอเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนในเวียดนามใต้ลดลง เกิดความวุ่นวายในสังคม ทว่า ความพ่ายแพ้ของเวียดนามใต้ก็มีปัจจัยอื่นอีกมากมายด้วยเช่นกัน

"ภาพจำของมาดามญูในประวัติศาสตร์เวียดนามคือผู้หญิง ′สวยเหี้ยม′ คำพูดของเธอเพียงไม่กี่ประโยคถือเป็นการดับอนาคตทั้งชีวิตของเธอ ไม่ใช่แค่เฉพาะในเวียดนาม แต่รวมถึงประชาชนทั้งโลกด้วย แม้ว่าเธอก็สร้างคุณูปการให้สังคมเวียดนามด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันสิทธิสตรี การรณรงค์เรื่องการสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชายในสังคมเวียดนามซึ่งถือว่าเป็นเรื่องหัวก้าวหน้ามากในสังคมเวียดนามขณะนั้นและเธอเองก็ต้องรับแรงเสียดทานต่อการเรียกร้องครั้งนี้จากสังคมด้วยโดยเฉพาะบรรยากาศทางสังคมที่ชายเป็นใหญ่ซึ่งเป็นอิทธิพลจากแนวคิดแบบขงจื้อ"มรกตวงศ์กล่าว

นอกจากนี้แล้ว นาย Nguyen Bao Khanh ได้พูดถึงการรับรู้ของชาวเวียดนามเกี่ยวกับมาดาม ญูว่า ใครที่อยากรู้จักเธอก็สามารถหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ส่วนหนังสือคงมีน้อยมาก ขณะที่รัฐบาลเวียดนามไม่สนับสนุนให้ศึกษาบทบาทของมาดาม ญู ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏชื่อมาดามญู และไม่มีท่าทีจะจัดการกับประวัติศาสตร์ของมาดามญูด้วย

มาดาม ญู เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 87 ปีที่โรงพยาบาลในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ.2011 เหลือไว้เพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษา ด้านหนึ่ง เธอคือตัวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งคือการนำความทันสมัยเข้ามาในเวียดนามใต้

แต่แน่นอนว่าความเลวร้ายที่มาดาม ญู ทำไว้ เป็นบทเรียนที่โลกไม่ควรลืม


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1434430247
โดย สุวิจักขณ์ เตชะทัตสกุล


องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนา ภาคใต้ มีมติ ทำพิธี "ประกาศอุกเขปนียกรรม" ขับ "พุทธะอิสระ" ออกจากคณะสงฆ์ เตรียมยื่นหนังสือแจ้งรัฐบาล ขอความอุปถัมภ์ในการทำพิธีเร็วๆ นี้...

เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 59 พระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท วัดเกาะใหญ่  อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ในฐานะเลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนา ภาคใต้ กล่าวว่า ตามที่ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านพุทธะอิสระ เพื่อชี้แจงกรณีที่ท่านได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก เบี่ยงเบนจากข้อเท็จจริง ว่า พระเถระภาคใต้ 2 รูป เป็นพระสายวัดพระธรรมกาย เป็นลิ่วล้อการเมืองนั้น เป็นการชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด ในฐานะที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงแทนท่านทั้ง 2 รูป ดังนี้

รูปที่หนึ่ง พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต เจ้าอาวาสวัดบางใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ แต่รักในความถูกต้อง ไม่เข้าพวกกับการเมือง รูปที่สอง พระครูวิรัติธรรมโชติ เจ้าคณะอำเภอเมือง จ.สงขลา ท่านเป็นพระนักปกครองที่ทุ่มเททำงานเพื่อพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ใน จ.สงขลา และเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 18 เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจให้กับพระในปกครอง แม้ในยามพระสงฆ์และชาวพุทธบาดเจ็บ ล้มตาย จากเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านไม่เคยทิ้งพระเณร ไม่เคยทิ้งชาวพุทธในพื้นที่ การที่ท่านพุทธะอิสระออกมาพูดให้ร้ายพระสงฆ์ภาคใต้ทั้ง 2 รูป เสมือนหนึ่งว่า บัดนี้ ท่านได้ประกาศตัดขาดจากพระสงฆ์ภาคใต้แล้ว

พระปลัดนรุตม์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามเลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนา ภาคใต้ เห็นว่า พุทธะอิสระ เป็นภิกษุพาล เที่ยวรุกรานภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว ไม่เว้นแม้พระนวกะ มัชฌิมะ (พระเถระผู้เฒ่า) จึงเห็นสมควรตัดขาดภิกษุเช่นนี้จากคณะสงฆ์ ขอให้พระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล จงร่วมกันลงทัณฑกรรมตามแนวพุทธวิธีที่ทรงอนุญาต ประกาศอุกเขปนียกรรม ขับไล่ทุมมังกุภิกษุผู้ไร้ยางอายนี้ ออกจากหมู่สงฆ์ ลงโทษให้สมกับที่ได้สร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา โดยองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ กำหนดจะเข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้ เพื่อแจ้งให้รัฐบาลถวายความอุปถัมภ์ การที่คณะสงฆ์จะดำเนินการทางพระธรรมวินัย ลงอุกเขปนียกรรมขับพุทธะอิสระออกจากหมู่สงฆ์ เพื่อนำความเรียบร้อยดีงามคืนสู่พระพุทธศาสนาต่อไป

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เข้าหารือกับพระพรหมมุนี และพระพรหมบัณฑิต ในนามตัวแทนมหาเถรสมาคม (มส.) นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.พศ. นายสมเกียรติ ธงศรี ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เจ้าหน้าที่ส่วนงานมหาเถรสมาคม และกองพุทธศาสนศึกษา ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยคาดว่า มีการหารือเกี่ยวกับที่จะมีพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับ ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยระบุเพียงว่าเป็นการหารือเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม และแนวทางในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาเท่านั้น

 ไทยรัฐออนไลน์ 25 มี.ค. 2559

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559


เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ เปิดเผยกรณีที่พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ออกมาโต้ตอบกรณีที่พระสงฆ์ภาคใต้ ประกาศอุกเขปนียกรรมกับพระพุทธะอิสระจนถูกโยงว่าเป็นพวกเดียวกับวัดพระธรรมกาย ว่า อาตมาขอประกาศว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และไม่เคยรับกิจนิมนต์ หากใครพยายามพูดโยงให้อาตมาเสื่อมเสีย ท่านกำลังละเมิดสิทธิของอาตมาอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม ที่ปรากฏชัดเจนว่าพระพุทธอิสระแม้บวชในพระพุทธศาสนาแต่เข้ากับพวกคฤหัสถ์ ประพฤติตนเป็นที่รังเกียจต่อคณะสงฆ์ ดังนั้น พระสงฆ์ภาคใต้เห็นควรให้ใช้หลักพระธรรมวินัยตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ทำอุกเขปนียกรรม ขับจากหมู่คณะไปสงบสติอารมณ์ จนกว่าจะกลับตัวกลับใจ อันจะยังความสุขสงบกลับคืนสู่สังฆมณฑล และพุทธบริษัท หากยังมิอาจละทิฐิกลับตัวกลับใจ ก็ควรได้รับการลงโทษสถานหนัก ประกาศปัพพาชนียกรรม ไล่ออกจากหมู่สงฆ์สิ้นสุดความเป็นพระในหมู่คณะ หาอาวาสมิได้ตลอดกาล
        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวคณะสงฆ์ จ.มุกดาหาร ได้ร่วมใจออกประกาศ ใจความว่า 
คณะสงฆ์ จ.มุกดาหาร ขอประกาศอุกเขปนียกรรมพระพุทธะอิสระ ผู้ประพฤติขวนขวายเพื่อทำลายคณะสงฆ์ เป็นบุคคลผู้ไร้หิริโอตตัปปะ ประพฤติตัวเป็นข้ารับใช้คฤหัสถ์ ประพฤตินอกธรรม นอกวินัย อันมิใช่วิสัยของสมณศากยบุตรพุทธชิโรสพึงกระทำ สร้างความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายให้เกิดขึ้นในสังฆมณฑล

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559


           
           ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น กับประเทศเราในเวลานี้ เเต่ความรู้สึกเมื่อดู วิดิโอ   สั้นๆเรื่องนี้ จากกลุ่มเด็กหนุ่มที่บังเอิญไปพบพระต่างชาติ ที่ต่างจังหวัด ในประเทศไทยเรา เเล้วบังเอิญมีกล้องวิดิโอ เเละกล้องถ่ายภาพ เราจึงได้เห็นเรื่องราว ความคิดของคนๆหนึ่งที่ตัดสินใจบวช มายาวนานถึง 18 ปี ในพื้นที่กันดาร เราจะไม่ถามถึงอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์นั้นเเม้กระทั่งหนุ่มสาว ไฟเเรงก็ต้องยอมรับในวันหนึ่งว่า นอกจากเพื่อชีวิต เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็รู้ซึ้งต้องต่อคำไปข้างหลังว่า เพื่อชีวิตกู ก็ต้องมาก่อน การตัดสินใจทำอะไรได้เป็นระยะเวลานานๆ ที่สวนกระเเสกับสิ่งที่คนอื่นทำกัน ถ้าไม่ใช่เพราะรักที่จะทำมันจริงๆ ก็คงไม่มีเหตุผลใดมาอ้างได้ นอกจากเราหาความสุขกับสิ่งนั้นได้จริงๆ ดังเรื่องราวสั้นๆในวิดิโอนี้ เเม้ไม่ได้มียอดถล่มทลายในการดู เเต่เวลาที่เราเสียเวลาดู อาจเทียบไม่ได้กับเวลาสิบกว่าปี ที่พระรูปนี้ซุกซ่อนตัวเองอยู่บนยอดดอย มาเนิ่นนาน ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดให้ดารา หรือใครๆเเห่กันไปกราบ ภาษาที่ท่านใช้ก็ง่ายๆน่าจะได้จากการเรียนรู้จากคนท้องถิ่น เเต่คำถามหนึ่งที่พระเเคนาดารูปนี้พูดถึงคือ ชอบปฏิบัติ จึงอยากบวช เเละผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ(สมาธิ)คือ ความสุข  สิ่งนี้เองคือ กุญเเจเเห่งความสำเร็จ ที่คนเราตามหากัน ทุกสิ่งที่คนเราทำ หากไม่รู้ว่าเป้าหมายของการกระทำของเราคือสิ่งใด ต่อให้ผลเเห่งสิ่งที่ทำ เป็นความสำเร็จ ความมั่งคั่ง ความพรั่งพร้อม แต่หากยังไม่ถึงความสุข จุดนั้นๆเราก็คงจะยังถามตัวเองว่า เรามาอยู่ตรงนี้ทำไม ชีวิตพระ เป็นชีวิตที่หยุดตัวเองจากจุด สิบนับย้อนกลับไปหาศูนย์ คือจากมีจนล้น เเล้วพบว่านั่นคือภาระ เมื่อสละกลับย้อนเดินไปยังศูนย์ จะรู้สึกถึงความเบาสบาย กายไม่หนัก เพราะไม่มีอะไรให้ยึดถือ ใจก็จะกลับไปยังจุดกำเนิดของใจ ที่ไม่ผูกพันธ์กับสิงใด ความสุขที่จีรัง จึงเกิดจากภายในอย่างเเท้จริง...เชื่อเถอะว่า รอยยิ้มของพระจูเลียน พระของชาวดอย เป็นรอยยิ้มเเห่งความสุข ที่คนไทยใจอยู่กรุงทุกวันนี้ ทำหล่นหายไปนาน....กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง......



เราไม่ได้เดินทางเพียงเเค่ไปให้ถึงจุดหมาย

เเต่จุดหมายเป็นเเค่ส่วนหนึ่งของการเดินทาง


                                               บุญ-พา-ไป




วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559


นิสิตป.โทหญิงเหยื่อซิ่งเบนซ์ดับอยากบวชพระ

นิสิตป.โทหญิงเหยื่อซิ่งเบนซ์ดับอยากบวชพระ ผอ.หลักสูตรสันติศึกษา‘มจร’เผยพ่อปรารภเหมือนสูญเสียพระรูปหนึ่ง

             จากกรณีอุบัติเหตุสยองขวัญ นายเจนภพ วีรพร ขับรถเก๋งยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร ชนกับรถเก๋งยี่ห้อฟอร์ด จนไฟลุกท่วม ทำให้ นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย หรือเบนซ์ ทายาทเจ้าของมหาวิทยาลัยชื่อดัง  นิสิตาปริญญาโท สาขาวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เสียชีวิตทั้งคู่ บนถนนพหลโยธินมุ่งหน้าสระบุรี ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา

             วันที่ 17 มี.ค.2558 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Hansa Dhammahaso” อีกครั้งเกี่ยวกับน.ส.ธันฐภัทร์ความว่า "หลับให้สบายหนูเบนซ์... ลูกพระกลางใจของพวกเรา
             "พระอาจารย์ครับ ผมได้สูญเสียพระของผมไปแล้ว เพราะลูกสาวของผมใช้ชีวิตเหมือนพระรูปหนึ่ง" นี่เป็นคำกล่าวของพ่อหนูเบนซ์ หรือนางสาวธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ที่เปรยพร้อมทั้งน้ำตาหน้าห้องเก็บศพที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รังสิต แต่ส่วนตัวได้ปลอบใจว่า "ไม่จริงหรอก!!! โยมได้เสียลูกสาวไปแต่โยมกำลังได้พระรูปหนึ่งกลับคืนมา" เหตุผลที่บอกแบบนั้นเพราะว่า หนูเบนซ์เปรยมาตลอดเวลาที่รู้จักว่า "หนูอยากจะบวชเป็นพระ" และในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะมีพระสงฆ์ที่ทรงคุณค่าเกิดขึ้นให้โลกได้พึ่งพาอาศัย พระที่แปลงร่างจากหนูเบนซ์จนกลายเป็นร่างของพระรูปใหม่
             เพราะเหตุใด?? เด็กสาวที่พรั่งพร้อมด้วยสมบัติภายนอกและสมบัติภายใน จึงมุ่งมาตรปรารถนาเป็นพระอย่างแรงกล้า หนูเบนซ์เกิดในตระกูลสัมมาทิฐิ โดยมีคุณแม่และคุณพ่อเป็นกัลยาณมิตรนำพาลูกสร้างบุญกุศลแต่เยาว์วัย มีการศึกษาที่ดี จบปริญญาโทจากสวีเดน เรียนหลักสูตรผู้นำเมืองยุคใหม่ สถาบันพระปกเกล้า และตั้งใจเรียนปริญญาโทอีกใบสาขาสันติศึกษา มหาจุฬาฯ เหตุผลของการเรียนหลักสูตรสันติศึกษาเป็นการตอกย้ำห้วงความคิดที่แสวงหาคุณค่าของความเป็นพระที่ต่อการแสวงหาความเยือกเย็น และออกไปใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ในฐานะวิศวกรสันติภาพ
             หนูเบนซ์เป็นนักปฏิบัติธรรมที่มุ่งมั่น และเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่เยาว์วัย โดยการ "นำธรรมไปทำ" พระพุทธศาสนาจึงเป็นวิถีชีวิตและลมหายใจของหนูเบนซ์ ทุกช่วงเวลาของชีวิตคือการทุ่มเท ปฏิบัติธรรมและสร้างบุญบารมีตลอด เพราะสิ่งที่เธอมุ่งมั่นจะเป็นคือ "พระ" เคยถามลูกศิษย์ว่า ทำไมจึงไม่คิดจะแต่งงานอายุ ๓๔ เพราะคุณแม่มุ่งมาตรปรารถนาจะให้มีครอบครัวตามแนวทางการใช้ชีวิตทางโลก เธอตอบว่า หนูจะรักษาร่างกายนี้ให้สะอาดเพื่อจะสามารถรองรับการเป็นพระในภพภูมิหน้าได้อย่างบริสุทธิ์และเต็มภาคภูมิ
             สิ่งหนึ่งที่จะสามารถตอกย้ำปณิธานที่มุ่งมั่นคือ "การจาริกแดนพุทธภูมิตามรอยสันติภูมิ" ที่หลักสูตรปริญญาโท สาขาสันติศึกษาได้จัดให้นิสิตไป "แสวงบุญ แสวงสันติธรรม" ร่วมกัน ณ ประเทศอินเดีย ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่เธออธิษฐานมาตั้งแต่เยาว์วัยว่าจะไปกราบดินแดนของพ่อที่ให้เกิดทางจิตใจ เพื่ออธิฐานใจให้เกิดเป็น "พระ" ในพระพุทธศาสนา
             ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙ ในฐานะลูกสาวคนโต เธอได้เตรียมรีดผ้าให้คุณแม่และคุณพ่อ หลังจากนั้น เธอเชิญชวนพ่อแม่และน้องๆ สวดธรรมจักกัปปวัตนสูตร ที่เคยปฏิบัติมา เพื่อตอกย้ำก่อนการเดินทางไปเมืองพาราณสีซึ่งเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะบทนี้ และเช้าตรู่ของวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ เธอได้ขวนขวายหุงหาอาหาร และเตรียมจตุปัจจัยไทยทาน แล้วแต่งตัวในชุดเสื้อขาวสดใส แล้วพาคุณแม่และคุณพ่อไปใส่บาตร หลังจากนั้น เธอจึงได้ร่ำลาคุณแม่คุณพ่อ ไปขึ้นรถน้องชายที่ชื่อ "โต้ง" ไปมหาจุฬาฯ วังน้อย เพื่อไปเตรียมความพร้อมและจัดการสิ่งต่างๆ ก่อนเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย
             การรีดผ้า การหุงหาอาหาร การพาคุณแม่และคุณพ่อไปทำบุตรตักบาตร การกอดลา และกล่าวลาครั้งนี้ ได้กลายเป็นละครบทสุดท้ายที่ "ลูกพระ" คนนี้ ได้แสดงต่อคุณแม่และคุณพ่อในฐานะพระพรหมของลูก เพราะเธอทราบดีว่า การแสดงความกตัญญูที่ประเสริฐที่สุด คือ การพาท่านไปหาศรัทธา ทาน ศีล และภาวนา และเธอได้ทำสิ่งเหล่านี้มาตลอดชีวิตของการเป็นลูก และด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ จึงทำให้พ่อได้ได้เปรยทั้งน้ำตาหน้าห้องเก็บศพว่า "ผมได้สูญเสียพระ" ไปอย่างไม่มีวันกลับ
             "หลับตาให้สบาย อย่าเกร็ง ค่อยๆ ดูเวทนาที่กำลังเกิดขึ้น และเกาะกัดกินรูปคือร่างกายของเรา การปวดเป็นหน้าที่ของกาย ส่วนการกำหนดความปวดคือหน้าที่ของใจ กายปวดใจไม่ปวด จำไว้ดีๆ นะหนูเบนซ์" นี่คือสิ่งที่ย้ำกับเธอในขณะที่เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และวันหนึ่งเธอเข้ามาพบและบอกในขณะสอบอารมณ์ทั้งน้ำตาว่า "พระอาจารย์ค่ะ หนูกำหนดทุกขเวทนาได้แล้ว ความปวดของกายทำอะไรใจหนูไม่ได้แล้ว หนูมีปีติ และมีความสุขแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต" ภาพที่เธอปล่อยร่างส่วนบนลงมาจากรถฟอร์ดทางประตูด้านขวาอยางผ่อนคลาย ในขณะที่ไฟกำลังโหมไหม้ขาท่อนล่างของ "หนูเบนซ์" หลังจากถูก "รถเบนซ์" ชนและแก๊สระเบิดนั้น ทำให้ไม่สงสัยอีกแล้วว่า เธอสามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือไม่
             "เราขอจบความแก่เอาไว้ ณ วัย ๓๔" คือคำกล่าวครั้งสุดท้ายกับโจ้ย เพื่อนสนิทจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เรื่องราวชีวิตของเธอจบลงแล้ว แต่เรื่องราวที่งดงามของเธอยังคงได้รับเล่าขาน และการเดินทางของเธอจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อไปตามหาสิ่งที่เธอได้ตั้งจิตอธิฐานและปรารถนาจะเป็น "พระ" ครั้งหนึ่งเคยย่ำเตือนกับเธอว่า "หนูเบนซ์ไม่ต้องเฝ้าที่จะเป็นพระในภพภูมิหน้าแล้ว เพราะเธอได้กลายเป็นพระในใจของคุณแม่คุณและคุณพ่อ รวมไปถึงถึงการมีดวงจิตและวิถีชีวิตที่เป็นพระซึ่งหมายถึงความประเสริฐ ทั้งการคิด พูด และทำในสิ่งที่ประเสริฐตลอดชีวิตและทุกลมหายใจ"
             ขอให้หนูเบนซ์หลับให้สบาย ชีวิตนี้ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวัย ๓๔ นั้น หนูได้สร้างเหตุปัจจัยที่พรั่งพร้อมที่จะเกิดเป็น "ลูกพระ" ทั้งทางร่างกาย และจิตใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์และครอบครัวสันติศึกษา ขอให้สิ่งที่หนูมุ่งมาตรปรารถนาสำเร็จผลในภพภูมิต่อไป โดยเกิดมาเป็นพระที่ดีและสมบูรณ์แบบ เพื่อจะร่วมสร้างสันติบารมีกับพระอาจารย์และครอบครัวสันติศึกษาดังที่เราได้ตั้งสันติปณิธานร่วมกันในห้องก่อนเรียนทุกเช้าว่า
             "ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอบำเพ็นสันติบารมี พัฒนาชีวีให้รู้ตื่นและเบิกบาน ร่วมประสานมนุษย์และสังคม ให้อุดมด้วยสันติสุข ในทุกลมหายใจ ตลอดไปเทอญฯ"
 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตะลึง!!! พบ "พระสถูป" ใหญ่สุดในประเทศอินเดีย รูปทรงคล้ายกับมหาธรรมกายเจดีย์

       มหาสถูปแห่งเกสเรีย เป็นสถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประทานแก่ชาววัชชี เมื่อครั้งพุทธกาล เกสเรียอยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นวัชชีและมัลละต่อกัน (รัฐพิหารในปัจจุบัน)




           มหาสถูปแห่งเกสเรียเป็นสถูปเดียวกับที่ปรากฏในบันทึกของพระถังซำจั๋ง ที่เคยจาริกแสวงบุญมายังสถานที่แห่งนี้ท่านได้กล่าวไว้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพระมหาสถูปที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธองค์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ชาววัชชี เมืองไวสาลีที่ตามมาส่งเสด็จพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเสด็จไปยังเมือง กุสินารา เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน
       เกสริยาในปัจจุบันอยู่ห่างจากกุสินาราประมาณ 120 กิโลเมตร ในเขตรัฐพิหารระหว่างทางจากเมืองไวสาลีไปยังเมืองกุสินารา
       องค์พระสถูปแห่งเกสเรียนี้เป็นสถูปที่มีลักษณะเป็นทรงกลมดูแล้วทำให้นึกถึงมหาธรรมกายเจดีย์ ที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้าย ๆ กัน 

 cr.กุหลาบเพชร Winnews

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

             

           เรื่องนายมโนตอนออกจากวัดพระธรรมกายเป็นที่หายไปจากสารบบคือ     ทำไมถึงออกจากวัดพระธรรมกาย        ในกลางพรรษาปี2537พระมโน (ในขณะนั้น) กำลังทำเรื่องนายรูดี้ที่ฆ่าพระในอเมริกา เรี่ยไรจากโยมหลายสิบล้าน เรื่องนี้มีคนพูดมากแล้ว ขอยกไว้ แต่จุดที่ออกจากวัดไม่เคยมีใครพูดถึงคือ พระมโน มาขอหลวงพ่อรองเจ้าอาวาสไปประชุมที่อียิปต์ ในรายการที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเผยแผ่พุทธศาสนาจากกำหนดการจะต้องขาดพรรษา. อย่างที่ทราบกันพระมโนตั้งแต่วันบวช ก็ร่อนเร่ไปอยู่ต่างประเทศ ไม่คุ้นกับการทำตามวินัย จำพรรษา ซึ่งครั้
งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่พระมโนจำพรรษาที่วัดพระธรรมกาย หลังจากบวชแล้ว 13 ปี หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสไม่อนุญาตเพราะไม่เอื้อพระวินัย ด้วยความดื้อรั้นเอาแต่ใจก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ครูบาอาจารย์ จะไปให้ได้ ที่สุดพระมโนได้ยื่นคำขาดว่า 


"ถ้าหลวงพ่อไม่ให้ไปผมก็จะขอลาออกจากวัด ?"


หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสจึงให้กลับไปคิดให้ดีหนึ่งคืน 

            พระมโนคงคิดด้วยความคิดเอาตนเป็นใหญ่ มองไม่เห็นสิ่งที่หลวงพ่อเตือนให้เอื้อเฟื้อกับพระวินัยตั้งใจจะแหกพรรษาไปเช้ารุ่งขึ้นจึงเอาจดหมายลาออกมายื่นกับ หลวงพ่อรองเจ้าอาวาส
หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสได้รับหน้าที่ปกครองพระสงฆ์. ในปีนั้นมีประมาณ 700 รูป มีกฏระเบียบ สำหรับคนหมู่ใหญ่. จึงสุดที่จะทัดทาน หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสจึงจำใจรับการลาออกนั้น
พระมโนเมื่อออกไปแล้ว เมื่อต้องอยู่เอง กินเอง ไปได้ไม่นาน ไม่ถึงปลายปี ไปขอให้เจ้าภาพใหญ่ระดับคุณหญิงท่านหนึ่งมาขอให้หลวงพ่อรับกลับ
เป็นเรื่องที่หลวงพ่อทำได้ลำบากเพราะจะเสียการปกครอง เห็นแก่สงฆ์หมู่ใหญ่ ที่จะไม่ให้เอาแต่ใจเป็นเยี่ยงอย่าง จึงปฏิเสธ

พระมโนจึงสิ้นสุดความเป็นพระวัดพระธรรมกายด้วยประการฉะนี้

จะเห็นว่าตอนบวชก็ไม่ได้คิด ทำ พูด เเบบพระ ฝึกตัวให้เป็นพระ มองเเต่ประโยชน์ตัวเอง อีโก้สูงจัด ใช้มาตราฐานทางโลกมาปนกับมาตราฐานทางธรรม เมื่อไม่อยู่ในกฏระเบียบไม่ว่าเป็นสังคมพระ หรือ สังคมคน หวังแต่พึ่งพาคนอื่น หากสังเกตุดีๆจะเห็นว่า จะทำอะไรก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเอง คำพูดนี้จะเป็นจริงหรือเปล่า ติดตามพฤติกรรมกันต่อไป.......


คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget