เรามาดูอำนาจในการค้นกัน
ตามป.วิอาญา ม. ๙๖ บัญญัติไว้ว่า" การค้นในที่รโหฐานต้องทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มีข้อยกเว้นดังนี้ "
๑. เมื่อลงมือค้นแล้วแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้
๒. ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือซึ่งมีกฏหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้
๓.การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญ จะทำในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมตำรวจ หรือข้าหลวงประจำจังหวัดฯ
ดังนั้นหลวงพ่อไม่ใช่ผู้ดุร้าย หลวงพ่อเป็นพระชราแถมอาพาธ
และไม่ได้เป็นผู้ร้ายสำคัญอะไร ความผิดที่ถูกกล่าวหา เป็นคดีความผิดเล็กน้อย ไม่ใช่ปล้น ฆ่า ค้ายา ฯ แต่อย่างใด
หลวงพ่อนอนป่วยอยู่ในวัด จึงไม่มีเหตุฉุกเฉินอย่างยิ่ง เพราะหลวงพ่อไม่ใช่กำลังจะหนีออกไปต่างประเทศ ส่วนกฏหมายอื่นให้ค้นได้ ในกรณีหลวงพ่อนี้ไม่มีกฏหมายอื่นแน่นอน
ดังนั้นจึงสรุปได้เลยว่า ตำรวจไม่สามารถใช้ ม. ๙๖ ลักไก่มาค้นวัดในเวลากลางคืนได้ นอกจากตำรวจจะกล้าบ้าบิ่น อ้างมาตรานี้มาใช้แบบน้ำขุ่นๆมั่วๆ เพราะตามหลักการใช้กำลังจำนวนมาก บุกเข้าไปในสถานที่ที่มีคนที่เห็นต่างเฝ้าวัดจำนวนมาก นั้นเท่ากับเป็นการฆาตกรรมหมู่เลยนะ
เพราะในเวลากลางคืน ต่างคนต่างกลัว เห็นเป็นยิง แทนที่จะจับหลวงพ่อ กลายเป็นจับปืนฆ่าศิษย์หลวงพ่อแทน
ทนายจึงค้านหัวชนฝาเลยครับ อย่าทำให้น้ำตานองแผ่นดิน เดี๋ยวชาวพุทธทั้งประเทศทนไม่ได้ อะไรอะไรก็อาจเกิดขึั้นได้
ถ้าเป็นดังเส้นตายที่ทางตำรวจขีดไว้ น่าจะมีการเข้าตรวจค้นวัดในเวลาเช้า อาจเป็นเช้าใดเช้าหนึ่งในเร็วๆวันนี้ แต่ทนายก็ยังคงสงสัยอยู่ดี ตำรวจจะทำไปทำไมกัน ทำไปมีคนตายแน่นอน
ศาสนาอื่น เราเห็นบ่อยๆ ยอมตายเพื่อศาสนา แต่ศาสนาพุทธเรายังไม่เคยเห็นเป็นข่าว
หรือว่าอยากจะทำให้ศาสนาพุทธของเรา ดัง
โดยพุทธฆ่าล้างพุทธ ในวัดพุทธ โดยชาวพุทธ
คิดแล้วเศร้าครับ
ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล ทนายผู้พิทักษ์ศาสนา
พุธ ๓๐ พย ๕๙ ๑๘.๓๖ น.