มีโยมบอกอาตมาว่า
" ไม่รู้จะทำบุญวัดไหนดี เดี๋ยวนี้มีแต่วัดไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าวัดบ้าน วัดป่า วัดจีน วัดญวน ผมเคยไปบวช ไปสัมผัสมาแล้วทุกที่ จะเป็นวัดหลวงปู่ดังๆ หรือวัดเล็กๆ ก็ตามเถอะ ผมบอกตรงๆ ผมพวกปัญญาจริต ผมไม่ศรัทธาหรอก พวกโล้นห่มเหลือง เดี๋ยวนี้ผมใส่บาตรพ่อแม่ครับ ไม่ทำบุญกับพระหรอก เปลืองข้าวสุกข้าวสารปล่าวๆ "
อาตมาได้ฟังแล้วจึงตอบเขาไปว่า
- สำหรับคนมีปัญญาชั้นตรี ก็จะเห็นว่า วัดดีก็มี วัดแย่ก็มี เราก็เลือกเอา
- สำหรับคนมีปัญญาชั้นโท ก็จะเห็นว่า "วัด" น่ะดีทุกวัด แต่ "ผู้มาบวช" ไม่ดีก็มี ที่ดีก็มี ต้องพิจารณาเฉพาะเป็นรายๆไป จะให้บวชมาแล้ว หมดกิเลส เป็นพระอริยะทุกรูปทันทีทันใด อันนั้นก็เพ้อเจ้อ
- สำหรับคนมีปัญญาชั้นเอก ก็จะเห็นว่า วัดก็ดี พระก็ดี สำคัญที่ตัวเราเองดีหรือยัง ความดีขั้นสูงกว่าที่เราทำได้ในตอนนี้ยังมีอีกหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องขวนขวายในคุณธรรมนั้น จะพระ จะวัด จะใครก็ตาม ก็จะกลายเป็นครูของเราหมด สอนให้เราเรียนรู้ และเพิ่มพูนสติปัญญาเราตลอดเวลา พิจารณาได้ธรรมะตลอดสายเรื่อยไป
- สำหรับพวกคนโง่ที่สุด...ก็จะเห็นแบบโยมนี่แหละ " ไม่ดีทั้งหมด!"
เพราะใจโยมแบกความเศร้าหมองมืดดำไว้จนหนักอึ้ง ประเภทเราดีคนเดียว คนอื่นเลวหมด เห็นแต่โทษเขา โทษเราไม่เห็น น่าสงสารเหลือเกิน เขาเลว เขาก็ไปแล้ว แต่ใจเรายังแบกความเลวเขาอยู่ แถมมาทุกข์กับความเลวเขาด้วย
วัดอื่นวัดไหนไม่สำคัญเท่า "วัดใจ" นะโยม
แล้ววัดใจของโยมล่ะ เป็นอย่างไร วัดสะอาดดีไหม
พระล่ะ เป็นพระที่ประพฤติดีไหม
หยั่งสติค้นเข้ามาข้างใน "วัดใจ" พระในใจของโยมน่ะ ท่านปฏิบัติอย่างไร เที่ยวเพ่นพ่านอันธพาล ไปเกะกะระรานใครเขาบ้าง
ไปตั้งแง่หาเรื่องใครเขาบ้าง
ได้ทำตนเป็นพญาช้างชูงวงด้วยความหยิ่งจองหองไปทั่วหรือปล่าว
วัดอื่น...วัดนอก
วัดใจ...วัดใน
ถ้าวัดในเสื่อม ต่อให้ไปวัดนอกที่ประเสริฐแค่ไหน มันก็เป็นทัพพีห่อนรู้รสแกง
มอง...ก็มองอย่างตากิเลส
ฟัง...ก็ฟังอย่างหูกิเลส
เพราะใจมันถูกครอบงำแล้วด้วยอคติ
พอขาดสติ มันก็ปรุงแต่ง จับผิด ตั้งแง่หาเรื่อง วุ่นวายไป
"วัดนอก" น่ะเป็นสิ่งที่น้อมนำมาสู่ "วัดใน"
วัดนอกเป็นเครื่องมือทำความสะอาดวัดใน เป็นเรือนพักให้วัดใน
เป็นความปิติสุข และเป็นสติ เป็นปัญญาให้แก่พระวัดใน
เมื่อ "วัดใน" ผ่องใส มีพระปฏิบัติงามๆ
พำนักอยู่ประจำแล้ว อาจไม่ต้องมาวัดนอกก็ได้
ถ้าหาพระดีๆไม่พบ ไม่รู้จะไปทำบุญวัดไหน ก็จงมีสติเดี๋ยวนี้ ทำความรู้อยู่ในปัจจุบัน ทำกำลังใจประหนึ่งว่ากำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลาดีที่สุด พระพุทธองค์ท่านประทับอยู่ที่ "วัดใจ" ของโยมนั่นแหละ มีพระอยู่ประจำวัดด้วยนะ ไม่เชื่อถามท่านเจ้าอาวาสวัดใจดูก็ได้ เวลาเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เจ้าอาวาสวัดใจท่านก็จะเตือน เวลาเราทำดีเจ้าอาวาสวัดใจท่านก็ชม เคยสังเกตุไหม
ธรรมชาติสามัญสำนึกไงล่ะ...เจ้าอาวาสวัดใจ !
ธรรมชาติของใจนี้อัศจรรย์มาก ถ้าฝึกสติดีๆ จะไม่อยากทำบาปใดๆเลย
มันจะปรากฏโทษความเศร้าหมองขึ้นมาทันที แม้เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม
ที่เราดีใจเวลาทำบาปสำเร็จ เช่น โกงเงินเขามาได้ ขโมยของเขามาได้
ตกปลาได้ หรือสะใจเวลาศัตรูตกทุกข์ อันนั้นมันอารมณ์กิเลสชั่ววูบ
พอมันได้สติ มันจะละอายชั่ว เร่าร้อนเป็นไฟเผา หวาดระเเวงกลัวภัย หรือนึกสงสารเมตตาผู้อื่นขึ้นมา ธรรมชาติของใจที่แสดงออกเหล่านี้ โยมเคยพินิจพิเคราะห์ไหม
ประเด็นเรื่องไม่ใส่บาตรพระสงฆ์ ทำบุญกับพ่อแม่ดีกว่า ไม่ขอทำบุญกับวัดวาพระสงฆ์รูปใด อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วยครึ่งหนึ่ง
เพราะอะไรจึงครึ่งเดียว ?
เพราะว่าคุณธรรมของบิดามารดานั้นมาก บิดามารดาท่านให้ชีวิตร่างกายขันธ์ ๕ เรามา สอนเรา เลี้ยงดูให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ มีความเจริญรุ่งเรืองในทางโลก แต่ช่วยให้เราดับทุกข์ถึงพระนิพพานไม่ได้
สมบัติทางโลกให้ได้แค่ความสบายภายนอกจนตายเน่าเข้าโลงเท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาชนะความแก่ชรา ความเจ็บป่วย ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งปวงได้ จะรวย จะเก่ง จะมีชื่อเสียงเกียรติยศอย่างไรก็หนีความทุกข์ไม่พ้น
คนรวยๆอาจจะมีทุกข์มากกว่าคนจนๆด้วยซ้ำ
ถ้าประสงค์ความสุขอันจริงแท้ต้องศึกษาวิชชาพระพุทธเจ้า ซึ่งการศึกษาวิชชาพ้นทุกข์นี้ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครบองค์พระรัตนตรัย
จะเลือกคบเฉพาะพระพุทธเจ้า และพระธรรมเท่านั้น ตัดขาดพระสงฆ์ ไม่คบพระสงฆ์...ไม่ได้ !
เพราะพระสงฆ์ที่ดี ท่านเป็นธรรมทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นครูบาอาจารย์ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นกัลยาณมิตรให้เราเข้าถึงธรรม
หลักของพระพุทธศาสนาคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น ละอัตตาตัวตน สู่อนัตตา และทะลุสุญญตา มีพระนิพพานเป็นที่สุด
คำว่าปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าปล่อยทิ้ง จนไม่ทำอะไร นอนขี้เกียจ ท่านสอนให้ขยัน อดทน ทำความเพียร เจริญสติมากๆ คนเรียนธรรมะจริงสังเกตุง่าย ยิ่งขยัน ยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งอดทน ยิ่งอ่อนน้อม
เห็นใจโยมนะ อาจมีประสบการณ์ไม่ดีกับพระมาหลายเรื่องราว ขอให้มีสติในปัจจุบันว่า
เรื่องเศร้าหมองทั้งหมดนั้น...มันดับไปแล้ว !
ไม่มีประโยชน์จะไปยึดถือแบกความสกปรกเหล่านั้น
เวลาภาวนาให้ตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องมีอดีต ไม่ต้องมีอนาคต อย่าเป็นคนมีอนาคต เราต้องพร้อมตายเสมอ บางทีอนาคตที่เราวาดฝันไว้ เราอาจตายก่อนมันจะมาถึงก็ได้
ตัดทุกอย่าง กำหนดสติอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว ยิ่งมีคำบริกรรม พุทโธๆๆๆๆ กำกับไว้เป็นหลักของสติด้วยยิ่งดี สติจะได้ต่อเนื่อง ไม่หลงอารมณ์ ไม่ส่งออกนอก จิตจะมีความตั้งมั่นได้ง่าย แรกๆก็ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิก ต่อไปก็จะมีความชำนาญในการเข้าออกความสงบเอง
ยิ่งโยมบอกว่าเป็นพวกปัญญาจริต ถ้าจิตตั้งมั่นแล้ว มีสมาธิทรงตัว ต้องพิจารณาความตายมากๆ เวลาหมดไป อายุขัยหมดไปตลอดเวลา ระวังนะ ตายลงตรงนี้ไม่รู้สุคติคืออะไร กรรมฐาน ๔๐ กอง ประมวลมาเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เกิด-ดับ เกิด-ดับ ซ้ำกันอยู่ตรงนี้ อนิจจังทั้งนั้น
โลกหวังนิจจัง ธรรมว่าอนิจจัง
โลกหวังสุข ธรรมว่าทุกข์
โลกหวังให้เป็นดังใจเรา ธรรมว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเป็นของเราแท้
สายทางเดินมา "หยุด" ตรงใจกลางพระธรรมจักรพอดี
อริยสัจจ์ ๔ จะเเสดงตัวทำลายอวิชชา ยุติวัฏจักร เมื่อนั้นจะเปิดเผยธรรมชาติที่อยู่เหนือความเกิดตาย อยู่เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณามากๆ โยมจะพบความสุขที่จริงแท้ ความดีงามที่ไม่เกี่ยวข้องผูกมัดกับอะไร ไม่มีภาระ ไม่มีกังวล ไร้สิ่งใดต้องแบกหาม เป็นอิสระจากโซ่ล่ามคอ ตรวนล่ามขา กะลาครอบจิต
แล้วโยมจะพบพระพุทธเจ้าแท้ พระธรรมแท้ พระสงฆ์แท้ๆ จะสำนึกถึงพระคุณอันสุดประมาณของท่าน ณ วัดใจของโยม!
ใจเย็นๆ ตัดประเด็นคนชั่วๆ ออกไปก่อนนะ
บางกรณี พระที่เรานึกตำหนิ เราไม่ชอบใจ พระท่านอาจจะทดสอบจิตเราอยู่ก็ได้ พระดีๆแกล้งบ้าเพราะเบื่อโยมบ๊องๆมึนๆก็มีเยอะ
เรื่องคนไม่ดี คนเลวน่ะมันมีเป็นธรรมดา แล้วเราจะเสียเวลาไปแบกความแย่ของเขาให้จิตใจเราเศร้าหมองทำไม
ตลบกลับเป็นด้านปัญญาดีกว่า ไม่ขาดทุน
ถ้าแย่จริงๆก็ต้องช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่เพียงฟังตามกันมาแล้วสรุปเอาเองอย่างอคติ ว่าคนนั้นเลว คนนี้ชั่ว ต้องพิจารณาเหตุผลอย่างถี่ถ้วน คนเรามักถูกอารมณ์ชักนำไปก่อนสติ
การปกป้องพระพุทธศาสนามีหลายวิธี และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ
"การละชั่วของตัวเราเอง"
โยมสมัยนี้มุ่งแต่ "ทำบุญ" จนลืม "ละบาป"
ทั้งที่ความจริงเพียงเราละบาปได้ มันก็เป็นความดีขึ้นมาแล้ว
ไม่ต้องเชื่ออาตมานะ อย่ายึดอาตมา เดี๋ยววันหนึ่งเกิดมีอะไรที่อาตมาทำไม่ถูกใจโยมเข้า โยมจะปรุงแต่งตกเป็นทาสอารมณ์เศร้าหมองอีกเหมือนเดิม
ให้ปฏิบัติให้เกิดผลประจักษ์ใจตนเอง โยมจะได้เป็นพยานให้พระรัตนตรัย เป็นพยานธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วจะรักพระสงฆ์ด้วยความจริงใจ จะเห็นความเสียสละ อดทนของพระดีๆท่าน จะรู้สึกสงสารท่าน ชื่นชมท่าน อนุโมทนากับท่าน เเละเป็นกำลังใจให้ท่านชำระกิเลสต่อไป
ฝึกวางอารมณ์ให้เป็น
ฝึกสติปัญญาให้รู้เท่าทัน
ถูกก็เป็นธรรม
ผิดก็เป็นธรรม
เหนือถูกเหนือผิดก็เป็นธรรม
อย่าไปเหมารวมว่าวัดไม่ดี พระไม่ดี
วัดดีๆก็มีเยอะ พระดีๆก็มีมาก
เลือกเนื้อนาบุญเอาตามวาสนานิสัย
สำคัญที่สุดก็ "วัดใน-วัดใจ" ของเรานี่เเหละ
กลับไปชำระ "วัดใจ" ของโยมให้สะอาดดีงามนะ
ฝากกราบเรียน "ท่านเจ้าอาวาสวัดใจ" ของโยมด้วยว่า
อาตมาเป็นกำลังใจให้ ขอถวายบุญกุศลที่อาตมากระทำไว้ดีแล้วให้ท่านได้ประโยชน์ด้วยเต็มที่ ขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญต่อไปมากๆ
เดินไป เดินไป ไม่หยุด เดี๋ยวก็ถึงจุดหมาย
วันหนึ่งท่านจะเป็น "พุทธะ" ที่เบิกบาน
แล้วอย่าลืมมาช่วยดึงอาตมาไปพระนิพพานด้วยนะ
...อาตมาเองนี่ก็กิเลสเต็มขั้นเหมือนกัน...
พุทโธ พุทโธ พุทโธ
เเหล่งข้อมูล โอวาทก่อนฉันจังหัน
พระอาจารย์คม อภิวโร วัดป่าธรรมคีรี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น