วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ความดีสากลกับตัวข้าพเจ้า
ความดีสากล คือ ความดีที่เป็นสากล ปฏิบัติกันได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ ทุกความเชื่อ ทุกชนชั้น​ ทั้งที่มีการศึกษาและไม่มีการศึกษา ซึ่งเมื่อทำแล้ว จะทำให้เป็นที่ยอมรับนับถือ เป็นที่เกรงใจของทุกคน ความดีสากลเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตพึงปรารถนา โดยเขาอาจจะรู้หรือไม่รู้มาก่อนก็ตาม แต่เมื่อนำไปปฏิบัติ ชีวิตประสบพบเจอแต่ความสุขและความสำเร็จ
ความดีสากล ประกอบด้วย
1.สะอาด
2.เป็นระเบียบ
3.สุภาพ
4.ตรงต่อเวลา
5.จิตใจผ่องใส

 ในที่นี้จะขอกล่าวถึง เรื่องความสะอาดและระเบียบ เป็นเรื่องหลัก

ปฐมเหตุ...
หลวงพ่อทัตตชีโว เมตตาถามข้าพเจ้าว่า พระพุทธศาสนาจะช่วยคนตะวันตก ให้มีความสุขในชีวิตเพิ่มขึั้นได้อย่างไร? คำถามฟังแล้วไม่ได้ยากอะไร แต่มันกลับยากมากที่จะตอบได้ถูกต้อง พยายามตอบอย่างยืดยาว สุดความสามารถ คิดว่าจะให้ครอบคลุมมากที่สุด 
แต่แล้วท่านตอบให้ว่า มันมีวิธีง่ายๆ คือ สอนให้เขาแยกแยะให้ออก ระหว่าง Need (ความจำเป็น) กับ Want (ความต้องการ) ทำอย่างไรให้ทดลองทำกับตัวเองก่อนเลย ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่คนขยันเท่าใดนัก แต่เป็นคนชอบทดลอง ชอบพิสูจน์อะไรที่ท้าทาย จึงไม่รีรอที่จะลงมือทำตามบทฝึกที่ท่านแนะนำมา

บทฝึกที่ 1
ท่านแนะนำให้ทำความสะอาดห้องนอน โดยทำอย่างละเอียด ตั้งแต่กวาดเพดานลงมาถึงพื้น เอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ พับเป็น 4 ส่วน เท่าฝ่ามือ ถูทุกซอกทุกมุม ใช้ผ้าทีละด้านจนครบทุกด้าน จึงค่อยซัก ท่านบอกว่าทำแล้วจะมีความรู้สึกว่าห้องนอนน่าอยู่ น่าพักผ่อน หลับได้ลึก และจะรู้สึกสบาย อยากนั่งสมาธิที่ห้องนอน ไม่น่าเชื่อ จากห้องนอนห้องเดิม ฝาห้องก็ธรรมดา แต่มันดูสดใสสวยงาม พาอารมณ์ดี น่าพักผ่อน และอยากจะนั่งสมาธิขึ้นมาทันทีจริงๆ

บทฝึกที่ 2
ให้แยกของใช้ในห้องนอนออกเป็น 2 กอง กองหนึ่งคือ Need อีกกอง คือ Want เก็บของ Need เอาไว้ในห้อง แยกเอาของWant ไปไว้อีกที่หนึ่ง ถ้าต้องการอะไรไปหยิบกลับมาใช้ได้ ผ่านไป 1 เดือน ของที่เราไม่ได้ไปเอากลับมา แสดงว่ามันเป็นส่วนเกิน ให้บริจาคให้กับผู้อื่นที่มีความต้องการมากกว่าเรา ท่านบอกว่า ระหว่างที่ทำนั้น ใจจะโล่ง โปร่ง สบายใจ แบบน้ำตาซึมเลยหล่ะ ซึ่งพอลงมือทำ ก็รู้สึกเหมือนอย่างที่ท่านบอก รู้สึกใจเบาสบาย ปิติ ดีใจมาก เหมือนเราค้นพบสิ่งประเสริฐในชีวิต

ระหว่างการคัดเลือกของแต่ละชิ้น เราจะต้องตัดสินใจ คือตัดสินและตัดใจ ของบางชิ้นตัดสินไม่ยาก แต่ตัดใจยาก อาจจะต้องคิดหากุศโลบายมาช่วย เช่น ถ้าเราจะต้องย้ายที่อยู่ในวันพรุ่งนี้ เราจะเอาติดตัวไปด้วยไหม ก็ช่วยในการตัดใจได้ง่ายขึ้น บทฝึกนี้ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ทำให้เห็นคุณค่าในตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง และรักตัวเอง รู้สึกมั่นใจว่าเรามีหลักยอดเยี่ยมในการตัดสินใจ​ ในทุกสิ่งที่จะเข้ามาในชีวิต
บทฝึกที่ 3
 หลวงพ่อสอนว่า ถ้าวัดใดมีของใช้มาก ก็ต้องมีห้องเก็บของมาก มีค่าใช้จ่ายมาก ศรัทธาคนจะลด และสมาชิกของวัดจะลด แต่ถ้าวัดใดมีของใช้น้อย ห้องเก็บของก็จะน้อย ค่าใช้จ่ายจะน้อย ศรัทธาคนจะมาก และสมาชิกจะเพิ่ม เมื่อของน้อยและถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ผลคือของในวัดก็จะ “หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา พาใจเข้าถึงธรรม”

ได้ชักชวนสมาชิกวัดมาทำด้วยกัน เริ่มไปในแต่ละห้อง โดยขนของออกมาทั้งหมดก่อน แล้วเช็ดถูทำความสะอาดห้องในทุกซอกทุกมุม จึงลงมือคัดแยกของ ของที่เสียหรือหมดอายุแล้วก็คัดทิ้งไป ของที่ยังดียังใช้ได้ ก็แยกและจัดหมวดหมู่ เพื่อเตรียมเก็บเข้าที่ ของบางอย่างยังดีอยู่แต่ไม่ได้ใช้แล้ว ก็แยกไว้รอบริจาคให้องค์กรการกุศลต่อไป ได้ทำบุญอีกต่อ จากนั้นก็เรียงของเก็บเข้าที่ ตามความถี่ของการใช้งาน เรียงสูงต่ำ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม เมื่อทำเสร็จแล้ว หมู่คณะก็มาอนุโมทนาบุญ ถ่ายรูปร่วมกันกับภาพที่เป็นระเบียบงดงาม เราต่างรู้สึกปลื้มปีติและมีความสุขใจร่วมกัน ที่จัดวัดของเราให้สะอาดเรียบร้อย
 ท่านปรารภว่าอยากให้ทำวัด ตั้งแต่หน้าวัดถึงท้ายวัด ให้เหมือน “โชว์รูม” ที่ขายสินค้าเกรดเอ ซึ่งเขาจัดร้านได้สะอาดและเป็นระเบียบสวยงาม ท่านกล่าวว่า ถ้าในแต่ละวัดมีผู้ทำความดีสากล 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสมาชิกขึ้นไป เดี๋ยววัดนั้นจะกระเทือน จึงชักชวนทั้งพระภิกษุ เจ้าหน้าที่ และสาธุชนฝึกความดีสากลไปด้วยกัน ทำไปที่ละจุด ทำไปทีละห้อง วัดก็สะอาด สว่าง สงบ รู้สึกวัดเราศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก สมกับเป็นดินแดนแห่งการบรรลุธรรม ทำไปจนหมดวัดแล้ว จึงชวนกันไปขัดเสารั้วหน้าวัด ซึ่งเสานี้ตั้งอยู่นานหลายสิบปี ตากแดดตากฝนจนตะไคร่น้ำจับเป็นสีดำ ระหว่างขัดเสานั้นเพื่อนบ้านในละแวกนั้นมายืนจ้องมอง  เราก็ขัดเสาของเราไปด้วยใจเบิกบาน ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ปรากฏว่า เพื่อนบ้านเราต่างออกมาตัดหญ้าและกวาดถนนหน้าบ้านตนเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่า มันจะเกิดเป็นกระแสของการทำความสะอาดที่ส่งต่อออกไปได้
 การทำความดีสากล จึงเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทำให้เราค้นพบตัวเอง ค้นพบพลังใจอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายใน และที่สำคัญคือเป็นการทำวัดให้ศักดิ์สิทธิ์ สะอาด สงบ เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นการหล่อหลอมรวมใจหมู่คณะให้มีความรัก ความสามัคคี พร้อมจะมุ่งหน้าฝ่าฟันไปข้างหน้า แม้จะเป็นงานใหญ่ เมื่อทุกคนมาลงแขกร่วมแรงร่วมใจ ภารกิจนั้นก็สำเร็จอย่างดีที่สุด แบบเอาอยู่ โดยที่หมู่คณะไม่เหนื่อยเกินไป หรือแม้บางครั้งจะเหนื่อย แต่ก็มีความสุข ปิติ เบิกบาน เป็นบุญบันเทิง ใจจะเป็นบุญกุศล มีความเคารพพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้น เรื่องการเกี่ยงงาน การดูถูกดูแคลน การจ้องจับผิด นินทาว่าร้ายลดลง มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นในหมู่คณะ

เมื่อสมาชิกวัดมีความรู้ มีความเข้าใจ เห็นอานุภาพการทำความดีสากลร่วมกันแล้ว การทำงานภายในวัดทุกสิ่งอย่าง ก็จะเป็นไปเพื่อส่งเสริมการฝึกตัวในเรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบ หมู่คณะจะพัฒนาต่อยอดการทำงาน ทำให้การทำงานในวัดลงตัว เช่น
-พระภิกษุแบ่งกันดูแลบุญอาหารและล้างจานตอนเช้า
-เก็บเพชรพลอย (ขยะ) รอบวัดทุกเช้าวันจันทร์
-ทำความดีสากลร่วมกันทุกบ่าย 2-4 น. ของวันจันทร์และวันศุกร์ โดยจะหมุนเวียนไปทำในจุดต่างๆ
-รับบุญความดีสากลประจำโซนที่ตนได้รับมอบหมาย
-ตอนนี้กำลังจะจัดกิจกรรม Big Cleaning Day ให้แก่สาธุชนคนท้องถิ่น

การทำความดีสากลเป็นมรดกธรรมล้ำค่า อันเป็นที่สุดของคำสอนของคุณยาย ที่ท่านใช้ตั้งแต่อยู่บ้านธรรมประสิทธิ์ รวมหมู่รวมคณะสร้างบุญบารมีจนมาถึงวัดพระธรรมกายและขยายศูนย์สาขาออกไปทั่วโลก การทำความดีสากลจึงเป็นเสมือนการตอกย้ำคำสอนของท่านให้มั่นคง สืบสานให้กว้างไกล และเป็นการประกาศคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านให้ชาวโลกได้รับรู้

ถ้าจะถามว่าสิ่งใดในการทำความดีสากลยากที่สุด จากประสบการณ์แล้ว สิ่งที่ยากที่สุดคือ การเริ่มลงมือทำ เพราะฉะนั้นสูตรสำเร็จของการทำความดีสากลคือ Just Do it เพียงแค่ลงมือทำ และพร้อมใจทำด้วยกันทั้งทีม สิ่งดีๆ ก็จะบังเกิดขึ้นในวัดของเรา เราจะค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ของหมู่คณะ และจะสามารถเปลี่ยนวัดของเราให้สดใสไฉไล แบบพลิกผ่ามือกันเลยทีเดียว
วันนี้คุณทำความดีสากลแล้วหรือยัง?


พระครูโสตถิธรรมวิเทศ (ปรัชญา โสตถิชัญโญ)
รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายเเคลิฟอร์เนีย





วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561




 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในภูเขาโคยะ จังหวัดวากายามะ ประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่พระวัย 40 ปีรูปหนึ่งได้ทำการฟ้องร้องคณะกรรมการของทางวัดว่า มีการทำร้ายจิตใจและไม่มีการจ่ายค่าแรง พร้อมเรียกค่าชดเชยจำนวน 8 ล้าน 6 แสนเยน (2 ล้าน 5 แสนบาท)
พระรูปดังกล่าวระบุว่า ได้เริ่มทำงานที่วัดนี้ในปี 2008
โดยในแต่ละวันจะต้องตื่นก่อนตี 5 เพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยว และผู้แสวงบุญที่มาเข้าพักในชุคุโบะ ซึ่งเป็นที่พักสำหรับผู้แสวงบุญ แถมยังต้องทำกิจของสงฆ์ไปด้วย
งานที่หนักและสิ่งที่พระรูปนี้ต้องรับผิดชอบ ทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่ฉลองครบรอบ 1,200 ปีของวัด
พระสงฆ์รูปนี้ต้องทำงานหนักติดกันนานถึง 64 วัน ช่วงเดือน มี.ค.–พ.ค. และต้องทำงาน 32 วันแบบไม่ได้หยุดเลยในช่วงเดือน ก.ย.–ต.ค. ก่อนที่จะต้องหยุดทำงานในวัดเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2016ทางด้านทนายความของฝ่ายโจทก์เผยว่า คณะกรรมการของทางวัดพยายามโน้มน้าวและบอกว่าการทำงานอย่างหนักนี้คือส่วนหนึ่งของการฝึก แต่อย่างไรก็ตามทางฝ่ายทนายก็มองว่าลูกความของเขาควรได้รับค่าตอบแทนในการทำงานหนักครั้งนี้ด้วย

ภูเขาโคยะถูกเลือกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2004 และที่นี่มีวัดตั้งอยู่มากกว่า 117 แห่ง และนับตั้งแต่ปี 2004 สถานที่แห่งนี้มีผู้แสวงบุญมากถึง 200,000-400,000 คนต่อปี ซึ่งในช่วงปี 2015 ปีที่มีผู้แสวงบุญมากที่สุดถึง 440,000 คน
ที่มา ndtv

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561



ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริภาษผู้ทรงศีล

ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวัตถีมีชาวประมงได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง  มีสีเหมือนทองคำแต่ปากเหม็นมาก  จึงเอาไปถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้นำไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอปลาอ้าปากเท่านั้น กลิ่นเหม็นก็คลุ้งตลบทั้งเชตวันมหาวิหาร พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไม่ปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น  พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่อ กปิละ มีความรู้มาก ทะนงในความรู้ของตน เที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุที่ไม่เชื่อคำของตน น้องสาวกับแม่ก็ด่าว่าพระภิกษุตามพระกปิละ  เพราะคิดว่าท่านรู้มาก พระกปิละตายแล้วจึงไปเกิดในอเวจีมหานรก  ไหม้ในมหานรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลา ด้วยเศษแห่งวิบากเนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์ สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทองคำ แต่เพราะเป็นผู้ด่าบริภาษพระภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ

จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลาพูดได้ด้วยพุทธนุภาพ

พระศาสดาตรัสถามปลาว่า  "เจ้าชื่อกปิละหรือ?"

ปลาตอบ   "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ"

พระศาสดาถาม   "เจ้ามาจากไหน?"

ปลาตอบ   "เกิดในนรก พระเจ้าข้า"

พระศาสดา  "น้องสาวของเจ้า ไปไหน ?"

ปลาตอบ    " เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า"

พระศาสดา  "บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน ?"

ปลาตอบ   "จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม  พระเจ้าข้า"

ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ  เศร้าเสียใจมากจึงเอาศรีษะฟาดเรือตายในทันทีนั่นเอง  กลับไปเกิดในนรกแล้ว มหาชนเห็นเรื่องราวทั้งหมด ได้สลดใจมีขนลุกชูชันแล้ว

การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมหนักมาก พวกเราอย่าไปทำเด็ดขาด บางคนแค่ฟังเขาว่าต่อๆกันมาก็หลงเชื่อ ผสมโรงด่าว่าท่านด้วยความคึกคะนอง กรรมนี้น่ากลัวนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การสื่อสารออนไลน์ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง  ยิ่งต้องระมัดระวัง มีสติ ไม่ไปตามแห่ทำบาปกับใคร

การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพระภิกษุ ยิ่งผิดทั้งศีล ผิดทั้งธรรม จะหาเหตุผลมาอ้างว่าทำด้วยความความบริสุทธิ์ใจ เพราะคิดว่าท่านไม่ดี เหตุผลนี้เมื่อตายแล้วตกนรก  จะเอาไปใช้อ้างกับยมบาลเขาก็ไม่รับฟังเลย

แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ  เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เพราะเรายังรู้จักท่านไม่จริง แต่เอาเวลาไปประพฤติปฏิบัติธรรม กับพระภิกษุรูปใดก็ได้ที่เราถูกอัธยาศัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านดีกว่า ทำอย่างนี้เราจะไม่มีวิบากกรรม จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ทั้งภพนี้และภพหน้า

CR Chaleeya  Nuansri

การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก
 ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใหม่ๆ ในช่วงแรกมักจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับความคุ้นเคยเดิม แม้ในวงการพระ พุทธศาสนาก็เช่นกัน พระมหาเถระผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ต่างก็ประสบกับการวิพากษ์โจมตีอย่างหนักมาแล้ว เพราะคนเรา พอไม่เข้าใจก็ไม่ชอบ จึงหาเรื่องจับผิด ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี อาทิ
 พระเดชพระคุณหลวงปู่สด จนฺทสโร หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ผู้มุ่งสั่งสอนสมาธิ "วิชชาธรรมกาย" ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เคยถูกกล่าวหาว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก อวดอุตริ และกุข่าวว่าถูกเจ้าคุณโชดกฯ สอนให้กลับตัวกลับใจ ซึ่งไม่จริงทั้งสิ้น ท่านเคยกล่าวว่า "เราจะฆ่าตัวเองด้วยความปรารถนาลามกทำไม"

พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน ก็เคยถูกครหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนวิจารณ์ว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก ที่บอกว่าไปสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้
ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางขึ้นพระธาตุ ดอยสุเทพสำเร็จในเวลาเพียง 3 เดือนและบุกเบิกเผยแผ่ธรรมะอย่างกว้างขวางในแดนล้านนา ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสี จนถูกจับขังถึง 3 ครั้ง ปลดจากเจ้าอาวาส ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ

 

สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักในปัจจุบัน ส่งพระไทยไปเรียนกรรมฐานกับพระพม่า กลับมาบุกเบิกสร้างสายธรรมปฏิบัติยุบหนอพองหนอในไทย ก็เคยถูกข้อกล่าวหาจากสังฆนายกในยุคนั้นว่าปาราชิก และสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้สึก ถึงขนาดถูกจับสึกเปลื้องผ้าเหลืองออก ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่สันติบาล 4 ปี แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าท่านไม่ผิดจึงกลับมาครองผ้าเหลืองใหม่ ก่อนมรณภาพได้เป็นถึงผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช
                                    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ ก็เคยถูกกล่าวหาว่าปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าไปสวรรค์ ไปนิพพานได้
หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ้า
เพราะเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ถือใบลาน ซึ่งคนยุคนั้นไม่คุ้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระมหายาน พระนอกรีต เพราะชอบสอนเรื่องสุญญตา
อิงคำสอนของท่านนาคารชุน ชอบแนวคิดแบบเซ็น แต่ท่านก็สามารถดึงปัญญาชนจำนวนมากให้หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา


หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พูดจาหยาบ
คาย จับเงินจับทองผิดพระวินัย ระดมผ้าป่าช่วยชาติซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในวงการสงฆ์ทางลัด
แต่ท่านก็สามารถสร้างศรัทธาในหมู่ชาวพุทธได้มากมาย


 น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมหาเถระเหล่านี้ จะต้องแบกบาปมากเพียงใด ตอนกำลังด่าว่าท่าน ทุกกรณีจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละคนก็คิดว่าท่านไม่ดีไม่ใช่พระแล้ว ด่าแล้วไม่บาป ได้บุญด้วย ปลุกระดมกันและกันด้วยโทสวาท (hate speech) ให้เกิดความเกลียดชังอย่างมากๆเหมือนท่านไม่ใช่คน
แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยการอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่แต่ละรูปได้สร้างไว้นั้นต้องทำด้วยชีวิต ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจจะทำอย่างนั้นไม่ได้
น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น ,ครูบาศรีวิชัย, สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ) ฯลฯ คนเหล่านี้ต้องรับกรรมหนักเพียงใด
     ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริตนั้น มักอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องออกไปเอง สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่จะซัดซากศพขึ้นฝั่ง ในที่สุด ดังมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู่มากราย โดยเราไม่ต้องไปผสมโรงด่า ให้เสี่ยงต่อบาปกรรมเลย

วิบากกรรมที่เกิดจากการกล่าวว่าร้ายพระภิกษุผู้ทรงศีล จะมีผลเป็นอย่างไร
ติดตามได้ตอนต่อไป

เเหล่งข้อมูล http://palungjit.org

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2561


ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่ใช้งานโซเชี่ยลมีเดียยักษ์ใหญ่ชื่อดังอย่าง เฟซบุ๊ก หรอก เพราะมันทำให้เรื่องยุ่งยากในชีวิตเราง่ายไปเสียหมด อยากจะติดต่อพูดคุยกับเพื่อนก็ทำได้ในทันที หรือจะติดตามความเคลื่อนไหวของคนรู้จักก็ทำได้ไม่ยาก แม้แต่ซื้อขายของก็ยังทำกันบนเฟซบุ๊กเลย
แต่ทุกสิ่งในโลกก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน มีข้อดีอยู่ในตัว ก็ต้องมีข้อเสียแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ดังที่นักวิจัยท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เฟซบุ๊กแฝงไปด้วยปัญหาด้านจิตวิทยา และปัญหาเหล่านี้ก็มองเห็นได้ยาก และปัญหาเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กมีสุขภาพย่ำแย่ลง โดยตีเป็นปัญหาได้ 7 ข้อหลักๆ ดังนี้



1. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณไม่ดีเท่าคนอื่น นักจิตวิทยาด้านสังคม Leon Festinger ได้ทำการสังเกตผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนใหญ่ และพบว่าทุกคนมักจะทำการเปรียบเทียบชีวิตเพื่อนที่เห็นในเฟซบุ๊กกับชีวิตของตนเองอยู่เสมอและมักจะรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตไม่ดีเท่าเพื่อนคนอื่นๆ เพราะส่วนมากพวกเขาจะโพสต์ภาพที่ได้ไปกินอาหารหรูๆ ภาพได้ไปเที่ยวต่างประเทศ และภาพตอนเกิดเรื่องดีๆ กับชีวิต
2. ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องกันจากข้อหนึ่ง คือเฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกอิจฉาเรื่องดีๆ ของเพื่อนนั่นเอง โดยนักวิจัยได้ค้นพบว่าการได้เห็นเรื่องดีๆ ของคนอื่นผ่านทางการเลื่อนดูนิวฟี๊ดทำให้คุณเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นและอาจจะทำให้คุณรู้สึกเศร้าหรือหดหู่ได้



3. เฟซบุ๊กทำให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนส่วนมาก นั่นเป็นเพราะเฟซบุ๊กมักจะนำเสนอเนื้อหาที่เราชอบติดตาม ซึ่งส่วนหนึ่งนับว่าเป็นความคิดเห็นและรสนิยมส่วนตัวของเราเอง และพอเราเห็นข้อมูลเหล่านี้บ่อยๆ แล้ว เราก็จะคิดว่าคนส่วนมากคิดเช่นนั้นเหมือนกัน
4. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้ความเป็นไปของคนที่คุณอยากลืม ซึ่งตัวอย่างที่ชัดที่สุดคงจะเป็นแฟนเก่านั่นแหละ เพราะเรามักจะเห็นภาพแฟนเก่าผ่านทางนิวฟี๊ด และแม้ว่าเราจะไม่ได้ติดตามเขาแล้วก็ตาม เราก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปส่องดูเฟซบุ๊กของเขาอยู่ดีนั่นแหละ ซึ่งมันทำให้คุณตัดขาดจากเขาได้ยากยิ่งขึ้น
5. เฟซบุ๊กอาจทำให้คุณเกิดความอิจฉาแฟนก็ได้ นักวิจัยชี้ว่าหากเราดูเฟซบุ๊กของแฟนบ่อยๆละก็ เราก็จะเห็นว่ามีใครติดตามหรือกดไลค์แฟนเราอยู่บ่อยๆ ซึ่งอาจทำเราอิจฉา หรือเกิดความไม่ไว้วางใจแฟนโดยใช่เหตุ และนำมาซึ่งปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเนื่องจากความไม่ไว้ใจกัน


6. เฟซบุ๊กทำให้นายจ้างรู้ข้อมูลที่เราไม่อยากเปิดเผย นักวิจัยกล่าวไว้ว่ามีผู้ใช้โซเชี่ยลมีเดียในการหางาน 89 เปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะเดียวกันนายจ้างก็ใช้งานโซเชี่ยลมีเดีย 37 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน
จึงไม่แปลกหากนายจ้างจะผ่านมาเห็นว่าชีวิตประจำวันที่คุณไปดื่มเหล้ากับเพื่อนแล้วเมาเละกลับบ้านไม่ไหว เห็นคุณไปเที่ยวกับสาวสักคนหนึ่ง หรือแม้แต่เรื่องที่คุณนินทานายจ้างบนเฟซบุ๊กของตัวเอง ซึ่งเรื่องพวกนี้คุณไม่อยากให้ใครรู้หรอกโดยเฉพาะนายจ้างที่จะจ้างเราทำงานน่ะ

7. เช่นเดียวกับกาแฟ บุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เฟซบุ๊กก็ทำให้คุณเกิดอาการเสพติดได้เช่นกัน เพราะว่าคุณจะอยากอัปเดตความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ และกระแสสังคมตลอดเวลา
ดังนั้นคุณก็เลยชอบเปิดเฟซบุ๊กเล่นบ่อยๆ นั่นเอง นักวิจัยได้ลองสุ่มถามผู้ใช้งานเฟซบุ๊กดู แล้วพบว่า พวกเขาอยากเล่นเฟซบุ๊กมากกว่าดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เสียอีก
      เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะวางมือจากการเลื่อนหน้าจออยู่กับอักษร F เกือบตลอดเวลา เหมือนเช่นทุกวันนี้

ที่มา  http://www.catdumb.com

คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget