วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567


5  สัญญาณ
ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังมีบาดเเผลทางจิตใจ ที่คุณไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณ เพราะคุณคิดว่ามันเป็นเเค่ส่วนหนึ่งของบุคคลิกของคุณ เเต่จริงๆเเล้วมันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเเอบซ่อนบาดเเผลทางจิตใจอยู่ภายในลึกๆ

    1.คุณขอบคุณบ่อยเกินไป เวลามีใครใจดีกับคุณ นั่นเป็นเพราะคุณไม่คุ้นเคยที่จะมีใครทำอะไรดีๆให้กับคุณ

     2.คุณขอโทษ เเม้เวลาที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด นั่นเป็นเพราะคุณมักถูกตำหนิ เเม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดของคุณ


    3.คุณคิดว่าคุณจำวัยเด็กของตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เพราะคุณขี้ลืม เเต่เพราะสมองของคุณผลักความทรงจำเหล่านั้นออกไป เพื่อช่วยให้คุณอยู่รอด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาป้องกันตัวเองเพื่อให้ไม่มีภัยโดยอัตโนมัติของตัวคุณเอง

    4.คุณไม่ค่อยรับคำชมจากใคร คุณคิดว่าคุณถ่อมตัว เเต่จริงๆเเล้วไม่ใช่ มันเป็นเพราะคุณไม่เชื่อในคำชมเหล่านั้น

    


5.คุณไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะทำเเบบนั้น มันเป็นเพราะคุณเคยชินกับกับการจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่เคยมีใครให้คุณพึ่งพา ไว้วางใจได้จริงๆ

ทั้ง 5 สัญญาณนี้ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพภายในจิตใจของคุณจริงๆที่คุณเเอบซ่อนไว้


เเหล่งรูปภาพ     google เเละ https://www.pexels.com/th-th/search/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A8%E0%B8%81/


วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

      


 มาย้อนเหตุการณ์พยามลอบฆ่าสายลับสองหน้ารัสเซียในประเทศอังกฤษ เมื่อปีค.ศ.2018 ที่จนปัจจุบันก็ยังหาบทสรุปไม่ได้ รู้เเต่ในปฏิบัติการนี้ใช้ยาพิษที่ชื่อ โนวิช็อก ซึ่งเป็นยาพิษร้ายเเรงของรัสเซีย เป็นตัวระบุว่าต้นประเทศที่น่าจะเป็นผู้นำในการปฏิบัติการนี้คือรัสเซีย หรือโซเวียสในอดีตนั่นเอง

        เหตุอุกอาจนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกในประเทศอังกฤษ เเละมีเหตุการณ์ต่อเนื่องเกิดขื้นอีกในภายหลัง โดยเริ่มเหตุกาณ์ในวันที่ 4 มีนาคม 2518  มีประชาชนในเมืองมิสซูรี ประเทศอังกฤษ ได้พบสองพ่อลูกคู่หนึ่งนั่งหมดสติ ไม่รู้ตัวอยู่ที่ม้านั่ง เเละได้พบภายหลังว่าชายผู้พ่อ มีชื่อว่า เซอร์เก สกรีพาล เเละตัวลูกสาวชื่อ ยูเรีย สกรีพาล ที่พึ่งบินมาจากประเทศรัสเชียได้เพียงหนึ่งวัน เพื่อพบปะ เยี่ยมเยียน ผู้เป็นพ่อที่ลี้ภัยมาอยู่อังกฤษ ตัวเซอร์เกนั้น เคยเป็นอดีตทหารยศผู้พันในรัสเซีย เเต่ในขณะที่ทำงานเป็นทหารนั้น เขาทำตัวเป็นสายลับสองหน้า เพื่อลักลอบส่งข้อมูลที่ระบุตัวตนสายลับรัสเซียที่เเฝงตัวเข้าไปอยู่ในยุโรป เขาได้ส่งรายชื่อกลุ่มสายลับเเก่ หน่วยข่าวกรอก MI6 ของประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามภายหลังเขาถูกจับได้โดยทางการรัสเซีย เเละถูกคุมขังเป็นเวลา 13 ปีในปี 2006  เเต่ก็ได้รับเงื่อนไขเเลกเปลี่ยน เเละพ้นโทษมาในปี 2010 โดยเขาเป็น 1 ใน 4 นักโทษรัสเซียที่ได้รับการปล่อยตัว เเละกับสายลับรัสเซีย ที่หน่วยFBI ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้จับตัวไว้ จำนวน 10 คน หลังได้รับการปล่อยตัว  เขาได้รับอนุญาตให้ย้ายมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ เเละใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษตั้งเเต่นั้นเป็นต้นมา

        เเต่นั่นไม่ได้ทำให้ชีวิตของเซอร์เก สุขสบาย หรือราบรื่นเเต่อย่างใด หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่ประเทศอังกฤษ ภรรยา,ลูกชาย จนไปถึงพี่ชายของเขาก็ทะยอยเสียชีวิต จนเหลือเพียงลูกสาวคนเดียว คือ ยูเรีย สกรีพาล ที่พึ่งบินมาเยี่ยมผู้เป็นพ่อนั่นเอง

        ในเวลาต่อมาทางตำรวจอังกฤษได้ตรวจสอบพบว่า คนร้ายน่าจะใช้สารพิษป้ายไปที่มือจับประตูบ้านของสกรีพาล เเละได้มีการเผยเเพร่ภาพชายสองคนที่เชื่อว่า น่าจะเป็นสายลับรัสเซียที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

        สถานที่ที่ใช้ก่อเหตุนั่นรุนเเรงมาก มีการยืนยันว่า คือ สารพิษ โนวิช๊อก เป็นยาพิษทางการทหารที่มีประวัติว่าทางการรัสเซียใช้มาตั้งเเต่สมัยยังเป็นสหภาพโซเวียต ที่ศตวรรษ 1980  ถึงเเม้ภายหลังสหภาพโซเวียตจะล่มสลาย เเละทางการรัสเซียยืนยันว่า โครงการพัฒนาอาวุธเคมีทั้งหมดของโซเวียต เเละ โนวิช๊อก นั้นถูกระงับไปหมดเเล้ว เเละยืนยันว่าส่วนที่ยังมีเก็บไว้ก็ได้ทำลายไปหมดสิ้นตั้งเเต่ปี 2017 เเล้วเช่นกัน เเต่ถึงอย่างนั้นฝ่ายรัสเซียก็ถูกกล่าวหามาตลอดว่ายังลักลอบใช้งาน โนวิช๊อก อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นสารพิษที่รุนเเรงที่สุดในโลก


เเละยังเป็นข้อกล่าวหาที่มีระยะนาน อย่างในปี 2020 โนวิช๊อก ของรัสเซียก็ยังถูกกล่าวหาว่าใช้ในการพยามลอบสังหาร อเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านของรัสเซีย

    ความพยายามที่เเม้สัมผัสเพียงนิดเดียวก็สามารถนำอันตรายได้ถึงชีวิตของสารพิษตัวดังกล่าว ทำให้พ่อลูกสกีพาลผู้นี้อาการสาหัส โดยมีรายงานจากพยานที่เห็นเหตุการณ์ช่วงที่พ่อลูกคู่นี้ได้นั่งฟุบลงไปที่ม้านั่ง ได้อ้างว่า ยูเรีย สกีพาล ลูกสาวมีอาการอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างจนเห็นเเต่ตาขาว ฟุบลงไปกับเก้าอี้เเบบไร้ความรู้สึก ดูเเล้วเหมือนสูญเสียการควบคุมตัว ในขณะเดียวกันตำรวจที่เข้าไปตรวจสอบบ้านพัก ของสองพ่อลูก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่สัมผัสประตูเปิดบ้านพักก็ได้รับสารพิษ เเละล้มป่วยลงเช่นกัน เเต่ในที่สุด ทั้งพ่อลูกสกรีพาล เเละเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นก็พ้นขีดอันตราย

    เเต่เรื่องไม่ได้จบเเค่นั้น ภายหลังมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลูกหลงจากเหตุการณ์นี้ด้วย อีกประมาณสี่เดือนต่อมา คือ 30 มิถุนายน 2518 มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ดอว์น สเตอเจส


ล้มปว่ยด้วยอาการเหมือนถูกสารพิษรุนเเรง พร้อมกันคู่รักของเธอ ผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่อีกเมืองที่ห่างจากเมืองที่พ่อลูกสกรีพาลอาศัยอยู่ 12 กิโลเมตร เหตุการณ์นี้น่าเศร้าตรงที่ ดอว์น ได้เสียชีวิตในสัปดาห์ต่อมาหลังการล้มป่วย เจ้าหน้าที่สรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากการที่เธอได้รับสารพิษ โนวิช๊อก นี่เเหละ โดยเธอได้รับสารพิษนี้จากน้ำหอม ที่สามีนำมาให้เป็นของขวัญ เมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งสามีของดอว์น ระบุว่าเขาไปพบขวดน้ำหอมนี้ถูกทิ้งอยู่ในถังบริจาค จึงนำกลับมาให้ภรรยาเพื่อเป็นขวัญ หลังดอว์นฉีดน้ำหอมตัวนี้ซึ่งบรรจุในขวดน้ำหอมติดยี่ห้อราคาเเพง เธอก็กล่าวว่ามันไม่เหมือนน้ำหอม คล้ายๆน้ำมัน เธอจึงไปล้างออก หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ถึงสิบห้านาที ดอว์นก็มีอาการปวดหัว เเละร้องขอยาเเก้ปวด ก่อนจะถูกพบหมดสติในอ่างอาบน้ำ เเละถูกส่งโรงพยาบาลก่อนจะเสียชีวิตในสัปดาห์ต่อมา จึงเกิดข้อสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อมาว่า สายลับรัสเซียน่าจะบรรจุ โนวิช๊อก ไว้ในขวดน้ำหอมเพื่อตบตาทุกคนในการก่อเหตุ เเละหลังจากปฏิบัติการ ก็ได้ทิ้งขวดน้ำหอมไว้สักที่หนึ่ง ก่อนที่จะตกมาอยู่ในมือของสามีดอว์นในเวลาต่อมา ซึ่งปริมาณจริงที่บรรจุสารพิษในขวดนั้นหากน้ำมาใช้ทั้งหมดจะสามารถสังหารคนได้นับพันหากนำไปใช้ในที่สาธารณะ 

   


ทางการอังกฤษมีหลักฐาน เเละกล่าวโทษรัสเซียว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ โดยมีการออกหมายจับสายลับรัสเซียโดยการเผยเเพร่รูปภาพ 2 คน เเละเพิ่มอีก 1 คนภายหลังที่ระบุว่าเป็นหัวหน้าผู้วางเเผนการในครั้งนี้ เเต่ก็ไม่ใช้เรื่องง่าย หลังการเผยเเพร่ข้อมูลผู้ต้องสงสัย รัสเซียก็ตอบโต้ทันทีผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของรัสเซียที่ได้นำชายทั้งสองที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยออกมายืนยัน สัมภาษณ์หน้ากล้อง เพือยืนยันว่าทั้งสองเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวย่านนั้นพอดีช่วงเกิดเหตุการณ์ ด้าน วาลาดิเมียร์ ปูติน

ก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของทั้งสองด้วย เเละไม่ได้ให้ความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน เพราะรัฐธรรมนูญของรัสเซียไม่ได้เปิดทางให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามเเดนเเต่อย่างใด สิ่งที่ชาติตะวันตก เเละอังกฤษตอบโต้คือ ขับทูตรัสเซียออกจากประเทศ เเต่การดำเนินการคดียังไม่มีความคืบหน้าใดๆจนถึงปัจจุบัน


เเหล่งข้อมูล  Word Rewind 24 พ.ย.2024


วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

             


ความรู้สึกน้อยใจนั้นละเอียดอ่อนกว่าความรู้สึกอื่นๆ ถ้าจะให้เเสดงออกมา ตัวเองก็จะรู้สึกต่ำต้อย เเต่ถ้าให้อยู่เฉยๆไม่พูดออกไป  ก็ได้เเต่เก็บสะสมไว้ เป็นความรู้สึกที่ยากจะทำอะไรได้ ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็บ่นออกมา ถ้าเสียใจก็ยังร้องไห้ได้  เเต่ถ้ารู้สึกน้อยใจ ทำได้เเต่เก็บไว้ในใจ  ไม่ใช่เรื่องที่จะรับมือกับมันได้ง่ายๆ

    ความจริงที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความรู้สึกน้อยใจ เป็นสิ่งที่คนที่อยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเเม่จะไม่ค่อยกล่าวคำพูดประเภทที่ว่า " ฉันน้อยใจเธอ " เเม้จะได้ยินคำที่มีความหมายคล้ายกัน เช่น  " ฉันเสียใจ ฉันเสียดาย โกรธเพราะเธอ " เเต่ก็ยังไม่เคยได้ยินคำไหนที่ใกล้เคียงกับ  " ฉันน้อยใจเธอ " จริงๆคงเป็นเพราะคำว่า น้อยใจ ในภาษาทางฝั่งเอเซีียที่ค่อนข้างพิเศษ "น้อยใจ'' คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่เราคาดหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากอีกฝ่ายไว้ในใจ เเต่อีกฝ่ายไม่รู้ จังไม่ทำ หรือไม่สนใจสิ่งนั้น กล่าวคือ จะต้องให้ฉันพูดออกมาหรือเธอถึงจะรู้ ดูสีหน้าหรือสถานการณ์เเล้วไม่รู้หรือว่าฉันต้องการอะไร นี่เเหละคือ "น้อยใจ''

    นักภาษาศาสตร์บอกว่า ภาษาอังกฤษหรือภาษาเยอรมันไม่เหมือนภาษาเกาหลีของเรา เพราะเวลาสนทนาเราจะใช้ภาษากายในการสื่อสารเยอะ กล่าวง่ายๆคือเราไม่ได้ใช้เพียงคำพูด เเต่จะพิจารณาสถานการณ์ก่อนหลัง ร่วมกับการสื่อสารผ่านสีหน้า ท่าทาง สำเนียง ความดังของเสียง ระยะห่างของความสัมพันธ์ สายตา เเละอื่นๆ ส่วนเวลาที่พูดก็จะเเสดงออกด้วยภาษาที่สุภาพมากกว่าจะพูดตรงๆ

    นั่นหมายความว่าการสื่อสารในภาษาของคนฝั่งเอเซีย จะต้องรู้จักช่างสังเกตจึงจะสามารถสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนเด็กที่เติบโตทางตะวันตกพ่อเเม่จะสอนมาตั้งเเต่เด็กๆว่า  ถ้าต้องการอะไรให้พูดออกมา ไม่ใช่เเสดงออกทางสีหน้าในทางตรงข้าม พวกเราโตมากับการโดนผู้ใหญ่ดุเมื่อเถียง ด้วยเหตุนี้เราจึงเเสดงออกในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาเป็นคำพูดได้ไม่เก่งเท่าชาวตะวันตก

    คนสมัยนี้น้อยใจในเรื่องอะไรกันบ้าง

                เด็กจะน้อยใจเมื่อรู้สึกว่าพ่อเเม่สนใจตัวเองน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ในทางตรงข้ามพ่อที่น้อยในเมื่อถูกลูกเเละภรรยาปล่อยให้โดดเดี่ยว ทั้งๆที่ตัวเองตั้งใจทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวก็มีให้เห็นอยู่มาก หรือภรรยาน้อยใจสามีที่ไม่เข้าข้างตัวเองเมื่อมีปัญหากับคนในครอบครัวของเขา  หนุ่มสาวที่เป็นเเฟนกันน้อยใจอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไป จากที่เคยใส่ใจตอนคบกันใหม่ๆกลายเป็นความหมางเมิน ลูกน้องที่น้อยใจเพราะหัวหน้าเอาโปรเจ๊กต์ที่ตัวเองทำจนดึกดื่นไปทำเหมือนเป็นของตัวเอง น้อยใจเพื่อนร่วมงานหรือรุ่นน้องที่ไม่ให้เกียรติ

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตัวเองจะเป็นคนช่างสังเกตเเค่ไหน เเต่หากอีกฝ่ายไม่พูดออกมา การจะอ่านใจให้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรให้ได้ทุกครั้งไปคงยากมากๆ เราไม่ได้มีพลังวิเศษที่อ่านใจคนได้ จะไปล่วงรู้อยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นเวลาที่รู้สึกน้อยใจ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดอย่ามัวเเต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจว่าทำไมเขาถึงไม่รู้ใจเรา เเต่ต้องพูดความในใจของเราออกมา

    วิธีการเเก้ปัญหาผ่านการพูดคุยกันก็คือ ให้รีบพูดออกมาตั้งเเต่ตอนที่เพิ่งเริ่มรู้สึกน้อยใจใหม่ๆเเทนที่จะเก็บกักความรู้สึกนั้นไว้ เเม้ยากที่จะพูด เเต่ความน้อยใจนั้นเพียงเราพูดมันออกมาให้ได้ก็ไม่มีปัญหาเเล้ว ทั้งนี้เพราะคนเราส่วนใหญ่มักไม่ได้มีเจตนาวางเเผนเพื่อทำให้คนอื่นน้อยใจหรอก เเต่ถ้าเราไม่พูด ความรู้สึกนั้นจะสะสมหนักขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกโกรธได้ เเละถ้าปปล่อยให้สถานกาณ์เป็นเเบบนี้ต่อไป วันหนึ่งที่ความรู้สึกซึ่งเก็บกดไว้ระเบิดออกมา มันจะพุ่งไปที่อีกฝ่ายโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเราต้องพูดออกมาให้ได้เสียตั้งเเต่เเรก

        เพียงเเต่เวลาที่เราพูดห้ามใช้วิธีโจมตีหรือต่อว่าอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดเเละต้องไม่พูดในเวลาที่กำลังโกรธด้วย เเต่ให้เราอธิบายความรู้สึกของเราออกมาในตอนที่อารมณ์สงบเเละไม่โมโห ครั้งเเรกอาจจะรู้สึกขัดเขิน  เเต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆทีละนิด เราจะสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ทำลายความสัมพันธ์กับคนที่สำคัญกับเรา เเละยังไม่จำเป็นต้องเก็บกดความรู้สึกของตัวเองไว้อีกด้วย เช่น พูดอย่างนิ่มนวลว่า "ฉันเเอบน้อยใจนิดนึงเเล้วละ "

        สุดท้ายถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองน้อยใจบ่อยกว่าคนอื่น เราก็ควรหันมาทบทวนตัวเองให้ถี่ถ้วน ความน้อยใจมักเกิดขึ้นเมื่อเราคาดหวังอะไรจากคนอื่นเเม้เพียงเล็กน้อย เราจึงต้องทบทวนว่าทำไมเราถึงคอยจะพึ่งคนอื่นอยู่บ่อยๆ ทำไมถึงคอยจะเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา สาเหตุอาจมาจากพื้นฐานการเติบโตหรือบาดเเผลในใจของเราก็ได้ หรือว่าตอนเด็กๆเราอาจไม่ได้รับการยอมรับเเละความสนใจจากพ่อเเม่ ทำให้เราอยากได้รับสิ่งนี้จากคนอื่น ทบทวนให้ดีว่าที่เราน้อยใจง่ายเป็นเพราะบาดเเผลในใจที่เราเองก็ไม่รู้มาก่อนหรือเปล่า

        นอกจากนี้ เวลาที่เรารู้สึกน้อยใจให้ลองหันกลับไปมองว่าเมื่อก่อนเราเคยทำให้คนอื่นน้อยใจด้วยสาเหตุเดียวกันนี้ไหม ก็จะช่วยให้เราจัดการกับความรู้สึกน้อยใจของตัวเองได้


เเหล่งอ้างอิง  จงรักในความไม่สมบูรณ์เเบบของตัวเอง พระเฮมิน


วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567







            ในระยะเวลาตั้งแต่ปี 1975-1979 เป็นช่วงเวลาเกือบสี่ปีที่เขมรแดง บุกยึดพนมเปญ เมืองหลวงประเทศกัมพูชา เหล่า ทหาร ,ข้าราชการ พ่อค้า, เชื้อพระวงศ์, ปัญญาชน ถูกจับและกำจัด ประชากรที่เหลือถูกกวาดต้อน ไปใช้แรงงานในการเกษตร ตามอุดมการณ์การทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์ กัมพูชา สังคม เศรษฐกิจ ความรู้ต่างๆ ถูกทำลาย ราบคาบ ไม่เว้นแม้แต่ วัฒนธรรม เรื่องอาหาร ปัจจุบัน กลางตลาดสดใหญ่กลางเมือง มีอาหารสด ผลไม้สดมากมาย วางขายกองสูง แต่ยังพบเห็น อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนระดับสูง ในยุคเขมรแดงวางขายเกลื่อนกลาดทั่วไป แมงมุมยักษ์ทอดกรอบ ที่รูปร่าง สีสรร อวัยวะที่เป็นองค์กอบยังอยู่ครบถ้วน ทั้งตัว ทั้ง หัว,ขา,ขน สนนราคาอยู่ที่ตัวละ 5000 เรียว หรือประมาณ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ 1 ตัวมีขนาดโตเท่าฝ่ามือ ทอดในน้ำมันร้อนๆ ทอดวางขาย ภายใต้ความเชื่อว่านอกจากเป็นแหล่งโปรตีนอย่างดี ยังเป็นยาชูกำลัง เพิ่มพลังทางเพศ แต่ภายใต้เบื้องหลังความอร่อย ยังซ่อนเรื่องราว ในเดือนเมษายน ปี 1975 ยุคเขมรแดง ที่นำโดย นายพอล พต ได้นำกำลังพลเข้าบุกกรุงพนมเปญ

และยึดอำนาจจาก นายพล ลอน นอล ผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา จุดประสงค์ของ นาย พอล พต ผู้นำเขมรแดง เพื่อปิดประเทศ สร้างเศรษฐกิจใหม่แบบสังคมนิยมที่คนพึ่งตนเอง กลับคืนสู่ประเทศเกษตรกรรมแบบเบ็ดเสร็จ โดดเดี่ยวประเทศ ไม่พึ่งต่างชาติ ,ยกเลิกระบบธนาคาร,เงินตรา, ปิดโรงพยาบาล,ปิดโรงเรียน ผู้คนถูกกวาดต้อนไปใช้แรงงานในชนบทต่างๆ ตามอุดมการณ์ของผู้นำ

อาหารที่ได้รับแจก มีเพียงข้าวต้มใส่เกลือวันละไม่กี่ช้อน ภายในเวลาไม่นานนัก ก็มีแต่คนอดอยาก ผอมโซ หมดแรง เจ็บป่วย และล้มตายไปมากมาย จากการขาดอาหาร หนอนและแมลงนานาชนิดในท้องทุ่งจึงกลายมาเป็นอาหารบรรเทาความหิวโหย แก่ผู้รอดชีวิตที่ยังเหลือ

                สามสิบปีหลังจากนั้นเขมรจึงค่อยๆฟื้นตัว มีร้านอาหารดีๆ ทันสมัย ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เมนูแมลงทอด โดยเฉพาะ แมงมุมที่เอามาทอดเทมปุระ ก็ยังถูกพบตามร้านอาหารได้ทั่วไป แม้มีขนาดตัวเล็กลงจากสมัยก่อนมาก รสชาติอร่อย เมื่อเพิ่มน้ำจิ้มลงไป รสชาติหากไม่ได้มองดูลักษณะภายนอกจะคล้ายๆกับปูนิ่ม


นอกจากนี้ยังมีเมนูแมลงอื่นๆให้ลิ้มลอง เช่น ปอเปี๊ยะไส้มด,หนอนไหมทอด,หนอนไหมผัดพริกไทสด,ส้มตำแมงป่อง และอื่นๆ อาหารจากแมลงเหล่านี้ไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ดีต่อโลกด้วยถ้าเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ในจำนวนที่เท่ากันของพลังงานที่ให้ต่อร่างกาย แมลงกินอาหารน้อยกว่า ใช้น้ำ และดินน้อยกว่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า แต่อาจจะเนื่องด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัว และความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีในการลิ้มลอง

จึงอาจทำให้ผู้บริโภคทางฝั่งยุโรปยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย ในขณะที่แมลงเป็นอาหารพื้นฐานของชาวชนบทในฝั่งเอเชียหลายแห่ง โดยเฉพาะชาวกัมพูชา ความสุนทรีย์ในการกิน และลิ้มลองจึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะทำให้หวนนึกถงอดีตยามเกิดสงครามไม่ได้


เหล่งอ้างอิง: ร้อยเรื่องรอบโลกEP.409

Cr.ภาพ : Google


จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget