"ภัททะกัง สุปินัง ปัสสะติ - ฝันดี
อาจมาจากเรื่องร้าย
แต่สะท้อนความจริงได้
ทำไมพุทธต้องฟัดพุทธ ?"
เมื่อวานเพื่อนร่วมงานผมทำงานกันสนุก เพราะมีแขกมาเยือนทางเฟชบุค ผมเห็นตอนเช้า แต่เพื่อนบอกว่ามาตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนแล้ว เฟชบุคนี้มีเป้าหมายต้องการเล่นงานผมโดยตรง ...เพื่อนๆสรุปว่า ผู้จัดทำมีการวางแผนมาอย่างดี ...เตรียมให้เกิดความยืดเยื้อ หวังผลสร้างความเด่นให้ตนเองเเป็นหลักโดยมีสานุศิษย์บางคนคอยร่วมยุ ...สุดท้ายเพื่อนๆถามผมว่า มีเรื่องโกรธเคืองอะไรเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ?
ผมมองชื่อ พยายามนึกถึงหน้า..บอกตรงๆว่าลืมความเกี่ยวข้องที่สนิทสนมกันไปนานแล้ว ระยะหลังก็พูดคุยกันห่างๆ พบก็ยกมือไหว้ในฐานะพระสงฆ์ ท่านให้หนังสือก็อ่าน รู้ว่าท่านต้องการกำลังใจก็ให้ไป เพื่อจะได้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา...แต่ความสัมพันธ์ทึ่ใกล้ชิดลืมจริงๆว่าเคยมีหรือเปล่า ?
ตกกลางคืน หลังจากไหว้พระสวดมนต์...ผมนั่งอ่านเฟชบุคจนง่วง จึงเข้านอน
ฟังเสียงฝนกระทบหลังคาแล้วก็หลับไป...ในที่สุดก็ฝัน...
"ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่สถานที่แห่งหนึ่งแถวท่าพระจันทร์ มีพระหนุ่มรูปหนึ่งมาหาผม ท่าทางสงบเสงี่ยม แต่เชื่อมั่นตัวเองคุยกันได้ครู่หนึ่งก็ยื่นเอกสารให้ผม เป็นข้อเขียนของท่าน ผมอ่านจนจบแล้วก็บอกว่าดี แต่มีข้อต้องแก้ไข บางที่เยิ่นเย้อ...
พระหนุ่มแสดงสีหน้าไม่สู้ดีที่ผมวิจารณ์...ผมก็อธิบายต่อตามวิสัยของคนชอบสอนหนังสือ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้...คือ ทุกครั้งที่พบพระหนุ่มรูปดังกล่าว จะได้รับการมองด้วยสีหน้าแววตาที่ไม่เป็นมิตรเหมือนเมื่อก่อน ..ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคงมาจากการวิจารณ์ในวันนั้น...แต่ก็ไม่สนใจอะไร เพราะถือเจตนาดีเป็นที่ตั้ง จากนั้นก็ไม่ได้พบกัน
ในความฝันยังเห็นอีกว่า"... ๑๐ ปีต่อมา พบกันอีกครั้ง..ได้ทราบว่าท่านพัฒนาตัวเองมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนตามที่ต่างๆ ก็มีคนชื่นชมพูดถึง ...คราวนี้พบและพูดคุยกันห่างๆ ..เพราะต่างคนต่างมีภาระ...พบแต่ละครั้งคุยกันไม่ถึง ๕ นาที ท่านก็บอกว่าท่านเขียนหนีงสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมก็อนุโมทนา และบางทีท่านก็ให้มาอ่าน ...ผมรับแล้วพลิกดูก็ให้กำลังใจ เพราะรู้ว่าท่านต้องการ"
ผมยังฝันยาว."..ตอนหลัง...ท่านเขียนเรื่องภิกษุณี ท่านบอกผมด้วยความเชื่อมั่นว่าจะรวบรวมหลักฐานมาแสดง เป้าหมายก็เพื่อต้องการบอกสังคมว่า การที่ผู้หญิงบวชทุกวันนี้ไม่ถูกต้อง ผมเองชื่นชม แต่ไม่ตื่นเต้นอะไร เพราะหลักฐานพระวินัยที่ท่านอ้างเพื่อให้เห็นว่าบวชเป็นภืกษุณีทุกวันนี้ทำไม่ได้ก็อ้างกันมาเยอะแล้ว...จนนักวิชาการฝ่ายสตรีนิยมตำหนิว่า พระชอบอ้างพระวินัยเฉพาะส่วนที่ท่านได้ประโยขน์ แต่ถ้าอ้างแล้วทำให้ท่านเสียประโยชน์ท่านก็ไม่อ้าง เช่น ห้ามรับเงิน...จึงได้แค่รับหนังสือไว้ แต่ไม่ได้เผยแพร่เพราะเห็นมีอยู่ดื่น และเห็นว่าการแค่ยกคัมภีร์มาอ้างเพื่อห้ามคงไม่พอ ใครก็ทำได้ ไม่อัศจรรย์อะไร แต่การหาทางออกให้น่าจะสำคัญกว่า เพราะเป็นการสงเคราะห์ผู้หญิงซึ่งก็เป็นภาระของพระศาสน่าด้วย จึงไม่ได้ให้ความสำคัญอันใดต่องานชิ้นนั้น แต่ก็ชื่นชมในความอุตสาหะ"
ผมสะดุ้งตื่นเข้าห้องน้ำแล้วมาหลับฝันต่อเรื่องเดิม
"...ตอนที่รณรงค์พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อาจจะเป็นผมกดติดต่อเข้าไปเพราะเห็นชื่อท่านขึ้นในเฟชบุคของผม ก็คนรู้จักกันก็เลยแอดเข้าไป...และได้คุยกีนถึงงานที่ทำ...ท่านสนใจ ท่านยินดีสนับสนุน เห็นบอกว่า ถ้ามีการตั้งคณะทำงานเพิ่มท่านพร้อมช่วยแถมบอกว่ามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง ผมเสนอเรื่องของท่านต่อประธานฝ่ายพระ เห็นท่านประธานเฉยๆไม่สนใจถามต่อ ผมก็เลยหยุดไม่ได้ติดต่อกลับไปอีก.."
ผมยังฝันต่อ
"...เมื่อตอนที่เขียนวิพากษ์พระมหาไพรวัลย์ ผมโดนถล่มหนัก ก็มีไลน์ของพระรูปนี้มาถึงด้วยความห่วงใย ผมขอบคุณ ก่อนจากกันท่านบอกว่าท่านส่งกลอนมาให้ออกหน้าเฟชบุคผม ๑ บท เป็นกลอนตำหนิพระมหาไพรวัลย์กลายๆ แต่ผมก็ไม่ได้เอาลง พระรูปนั้นก็อุตส่าห์ไปลงเฟชของท่านบอกแฟนคลับให้อ่านงานท่านได้ที่หน้าจอของผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ท่าน เพราะทำไม่เป็น และเพราะคิดว่า ไม่ยุติธรรมกับพระมหาไพรวัลย์ เมื่อผมว่าท่านก็ควรใช้วาทะของผมเอง ไม่ควรดึงคนอื่นมาเป็นศัตรูกับท่าน ก็เลยไม่ได้ลงให้ท่าน ...เหมือนไม่ให้ความสำคัญท่าน
จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก และผมก็ลืมท่านไปเลย เพราะมัวแต่ยุ่งกับงาน สมาพันธุ์"
มานึกถึงท่านอีกทีก็ตอนที่เขียนเรื่องวัดพระธรรมกาย ในฐานะเป็นสถาบันพระพุทธศาสนาสถาบันหนึ่ง ที่กลุ่มของผมหากจะปล่อยให้เผชิญภัยตามลำพังก็ดูจะใจดำเกินไป ทั้งๆที่วัดพระธรรมกายก็ไม่ได้ให้อะไรเราเป็นการเฉพาะ แต่เรามองในภาพรวม วัดพระธรรมกายจึงเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมนั้น และฝ่ายที่จ้องเล่นงานวัดพระธรรมกายเขาก็มองในภาพรวม หากล้มวัดพระธรรมกายได้ก็ล้มวัดอื่นๆได้ ในที่สุดก็ล้มคณะสงฆ์ได้ ...
การล้มวัดพระธรรมกายมีแผนจากต่างศาสนามาหลายสิบปี ศาสนาไหนล่ะ ? ก็ลองไปดูซี่ศาสนาใดที่ซื้อที่ล้อมวัดพระธรรมกาย ก็ศาสนานั่นแหละ ...เขาทำด้วยสามัคคีและกฏหมาย เรามีแต่ศรัทธาและความภูมิใจแบบหลงเงาอดีต แต่ไม่ตื่นรับรู้ความจริง
หลายคนอาจคิดว่าก็ล้มไป จะเอาไว้ทำไม ในเมื่อคณะสงฆ์ก็บกพร่องมากมาย
พวกเราก็เห็นจุดนี้...แต่เรามั่นใจว่าเป็นภัยภายในที่แก้ได้ และไม่มั่นใจในโครงสร้างใหม่ที่จะมี ๓ เกลอ (พระ ๑ + ฆราวาส ๒) มาเป็นตัวกำหนด ... คณะเราจึงทักท้วง และปลุกทุกฝ่ายให้ตื่น. แต่นึกไม่ถึงว่า ขาวพุทธตื่นแล้วมาไล่ฟัดกันเอง ...ศาสนานั้น เขาชอบใจน่าดู
ผมต้องขอบคุณสมาชิกสมาพันธ์ชาวพุทธที่ประกาศความกล้ามาช่วยกันชี้แจง
ทำให้ผมมั่นใจว่าเราไปได้แน่
แต่ละคนที่เห็นยามปกติคือ "แมวเชื่อง"
แต่เมื่อสถานการณ์เชิงรุกมาถึง ทุกคนก็คือ "ราชสีห์ " พร้อมสู้และสู้จริงๆ
สู้ไม้สู้เปล่า ยังไล่ฟัด"หมูอ้วน ๒-๓ ตัว" กระจุยกระจายปิดเฟชบุคหนีกันจ้าละหวั่น (หมูอ้วนบางตัวอุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม แต่พอคุยไปๆสันดานเก่าออก เลยจำได้ ราชสีห์เราก็จมูกไวไล่ขย้ำซะเลย แต่ก่อนสิ้นลายยังมีแรงด่ากลับนะว่าราชสีห์เราเป็นคนไม่มีศาสนา) มิหนำซ้ำ พระเจ้าของแผนการที่ผมฝันถึงพอเจอราชสีห์เขี้ยวตันเข้าไปก็ปิดเฟชบุคหนีเหมือนกัน
ราชสีห์ทุกตัวให้เหตุผลต่อกลุ่มตรงกันว่า
"เถื่อนต้องเจอเถื่อน มามัวสุภาพอย่าง อ.บรรจบไม่ได้หรอก"
ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=476415835889971&id=301226330075590
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยโท ดร. บรรจบ บรรณรุจิ อดีตอนุศาสนาจารย์ ประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก และกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น