ผมไม่ได้ "อิน" กับวัดพระธรรมกายไปเสียทุกเรื่อง มีหลายเรื่องที่ผ่านมาก็เคยวิจารณ์ แต่เป็นการติเพื่อก่อเสียมากกว่า ไม่ใช่เพื่อทำลายกัน เพราะผมรู้ดีว่าพลังศรัทธาที่ก่อตัวมาถึงขนาดนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆเหมือนลอยมาจากอากาศ ทว่ามาจากการเสียสละและความตั้งใจดีในการทำงานของทุกฝ่ายในวัด"การต่อสู้ของศิษย์วัดพระธรรมกาย :
สะท้อนพลังศรัทธามาเป็นกำแพงแก้ว
คุ้มกันสถาบันพระพุทธศาสนา
: นี่คือสัญญาณบอก 'เราทิ้งกันไม่ได้' "
ผมกับเพื่อนร่วมงานที่จับตาดูเหตุการณ์นี้ต่างกังวลใจมาก เพราะมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะทำให้สถาบันพระพุทธศาสนาหมดความสง่างาม
และคิดอยู่เสมอว่า หากทางการใช้กำลังเข้ามา แล้วพลังศรัทธาของสาธุชนวัดพระธรรมกายจะทานกำลังนั้นได้ไหม ?
ทำไม เราจะต้องวิตกขนาดนั่น ?
คำตอบคือ ณ วันนี้ วัดไทยเราที่ทรงพลัง มีการจัดการที่เยี่ยมยอด มีระบบการดำเนินการที่ฉับไว และร่วมรับรู้และแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเสมอมา จนทำให้สง่างามในสังคมโลก ไม่มีวัดไหนเกินวัดพระธรรมกาย ดังนั่น การชะงักงันหรือการล่มสลายของวัดพระธรรมกายคือการล่มสลายของสถาบันพระพุทธศาสนาไทย เพราะฝ่ายที่เหี้ยนกระหือรือที่จะปฏิรูปคงไม่ไว้หน้าวัดอื่นๆต่อไป อนึ่ง ยุคนี้ เป็นยุคที่แม้มหาเถรสมาคมเองก็อ่อนกำลังป้องกันตัวเองไม่ได้ พวกปฏิรูปคงสนุกมือละ สถาบันพระพุทธศาสนาก็คงหมดความสง่างาม ...นี่แหละคือจุดที่เราวิตก
แต่แล้วเมื่อถึงวัน...เราก็หายวิตก
เพราะสายธารศรัทธาหลั่งมาเป็นกำแพงแก้วอันทรงพลัง..ทำให้ฝ่ายบ้านเมืองต้องคิด เหมือนอย่างบทสรุปข้างล่าง
… เกี่ยวกับประเด็นนี้พิธีกรรายการ "Tonight Thailand" แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า
"สิ่งที่ทางศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายพูดมันไม่ใช่เรื่องน่าขัน มันคือการสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังขาดความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐอย่างรุนแรงมากๆ และตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐได้ รัฐบาลยากที่จะปกครองเข้าด้วยวิธีอื่น นอกเหนือจากการใช้กำลัง ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ .. มาตรา 44 ก็คือการใช้กำลังในเชิงนิตินัยไม่ใช่เชิงพฤตินัยนั่นเอง"
... ขณะที่ศิษย์วัดพระธรรมกายบางท่านโพสมุมมองส่วนตัวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่คณะศิษย์สามารถเชื่อมั่นและพึ่งพาได้ ทั้งนี้ โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์และกระบวนการที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้
(1) การที่ รมว. ยุติธรรมพูดว่า จับได้ต้องสึกสถานเดียว ยังไม่ทันพิสูจน์ความจริงก็โดนจับสึกแล้ว แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(2) การที่คุณไพบูลย์ นิติตะวัน พูดในรายการถามตรงๆ ว่า จับได้ต้องใช้ พรบ.สงฆ์ มาตรา 30 คือจับสึกอย่างเดียว เพราะถ้าจับสึกไม่ได้ คุณไพบูลย์ก็อยู่ไม่ได้ แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(3) การที่ดีเอสไอเชิญทั้งคุณไพบูลย์ นิติตะวัน และนายมโน เลาหวาณิชย์ ไปเป็นที่ปรึกษาวางแผนจับสึก ซึ่งทั้งสองประกาศตนเป็นคู่ปรปักษ์กับวัดพระธรรมกายออกสื่ออย่างชัดเจน แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(4) การที่ดีเอสไอนัดเจรจากับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่แล้วกลับไปออกรายการทีวีว่า มติการเจรจาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของดีเอสไอ แบบนี้จะประชุมทำไม แบบนี้หลอกใช้พระให้มาจับสึกไปติดคุกใช่หรือไม่
(5) พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครห้ามปราม แต่อีกฝ่ายหนึ่ง นอนป่วยเฉยๆ อยู่ในวัด ต้องยกกองกำลังมาจับสึกติดคุกให้ได้ ... แบบนี้มันยุติธรรมไหม ?
(6) กระบวนการยุติธรรมแบบนี้ มีแต่กับดักอันตราย ไม่ต่างอะไรจากเขียนคำสั่งพิพากษาประหารชีวิตไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่มีผู้ต้องหาด้วยซ้ำไป
(7) ระบบกฎหมายที่ไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการปกป้องตัวเองแม้กระทั่งยามเจ็บป่วยแบบนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอน😊
ผมดีใจที่ บทสรุปนี้มาจากลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย
เพราะนอกจากแสดงถึงความแกร่งทางด้านศรัทธาแล้ว ยังแข็งแกร่งทางด้านสติปัญญา ...อันที่จริงเหตุการณ์นี้เริ่มมาจากอดีตลูกศิษย์เอกของวัดพระธรรมกายคือคุณหมอท่านหนึ่งที่
ปัจจุบันมีความเห็นต่างจากครูอาจารย์แต่ได้แรงหนุนดีจากฐานอำนาจ จึงสมควรแล้วที่จะต้องใช้สติปัญญาของลูกศิษย์ปัจจุบันแก้ไข
แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่ให้ท่านโดดเดี่ยว...เพราะวัดพระธรรมกายคือสถาบันของพระพุทธศาสนา
และเราถือว่า พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันรอดหมด
....เราจึงทิ้งกันไม่ได้....
ขอบคุณเเหล่งข้อมูล ดร.บรรจบ บรรณรุจิ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น