ในยุคปัจจุบันที่มีความผันผวนทางการเมืองในไทย เเละสถานการณ์โลกที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ในเเต่ละวัน เรียกว่าจะเเทบทุกหย่อมหญ้าในโลก ที่ถูกสื่อออนไลน์เเพร่กระจายข่าว จนผู้คนเกิดความ สับสน มึนงง ตื่นกลัว กับเหตุการณ์ที่รู้กันฉับไว จนเเทบจะเรียกได้ว่า กลัวโลกออนไลน์ ที่ไปไวมากกว่าที่คิด ในทุกวันนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ราวกับถูกใครบางคน ขีดเส้นชะตาไว้ ทำให้นึกถึง คำทำนาย จากหมอดูดังๆที่มีมาตั้งเเต่อดีต ได้ทำนายกันไว้ล่วงหน้า เเม้เจ้าตัวไม่อยู่เเล้ว ผลของคำทำนายก็ส่งผลให้โลกเป็นไปตามนั้นจริงๆ จะเกิดจาก การเดาที่บังเอิญถูกต้อง การเเปลความหมายคำทำนายของคนรุ่นหลังเองให้ไปสอดคล้องคำทำนายนั้นๆ เพื่อให้เกิดกระเเสบางอย่างในโลก หรือจะเป็นการมองเห็นจริง ของนักทำนายเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดา เเม้กระทั่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่า ชั่วโมงนี้หมอดูคนนี้ กำลัง "ดัง" ที่สุด
“หมอดูอีที” หมอดูชาวพม่า หรือ ชื่อจริง “ซุย ซุย วิน” อีที (ET) เป็น
คำย่อของ
อีติ (E Thi) หรือ มะขุ่ยลักษณะร่างกายนั้น เป็นหญิงรูปร่างเล็ก เป็นใบ้ หลังค่อม นิ้วคด เท้าพลิก มือเกร็ง อาศัยอยู่ในบ้านธรรมดา เขตติงกานจูน (Thingangyun) รอบนอกกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า หมอดูอีทีในวัย 53 ปี 8 เดือน พิการมือเท้าหงิก พูดไม่ได้ แต่สามารถดูดวงได้แม่นราวกับตาเห็น หมอดูอีทีจะดูดวงผ่านการอ่านปากของ “มะตีตี้” ผู้เป็นน้องสาว และเขียนบนกระดาษ ความไม่ธรรมดาทำให้หมอดูรายนี้โด่งดังไปทั่วโลก ดังขนาดที่ว่านักธุรกิจ นักการเมือง และคนใหญ่คนโตจากทั่วโลกต้องบินไปดูดวงด้วย ซึ่งแต่ละเดือนหมอดูอีทีโกยเงินเข้ากระเป๋าจากการทำนายดวงได้มากกว่า 350 ล้านบาทเลยทีเดียว
คำย่อของ
อีติ (E Thi) หรือ มะขุ่ยลักษณะร่างกายนั้น เป็นหญิงรูปร่างเล็ก เป็นใบ้ หลังค่อม นิ้วคด เท้าพลิก มือเกร็ง อาศัยอยู่ในบ้านธรรมดา เขตติงกานจูน (Thingangyun) รอบนอกกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า หมอดูอีทีในวัย 53 ปี 8 เดือน พิการมือเท้าหงิก พูดไม่ได้ แต่สามารถดูดวงได้แม่นราวกับตาเห็น หมอดูอีทีจะดูดวงผ่านการอ่านปากของ “มะตีตี้” ผู้เป็นน้องสาว และเขียนบนกระดาษ ความไม่ธรรมดาทำให้หมอดูรายนี้โด่งดังไปทั่วโลก ดังขนาดที่ว่านักธุรกิจ นักการเมือง และคนใหญ่คนโตจากทั่วโลกต้องบินไปดูดวงด้วย ซึ่งแต่ละเดือนหมอดูอีทีโกยเงินเข้ากระเป๋าจากการทำนายดวงได้มากกว่า 350 ล้านบาทเลยทีเดียว
ซึ่งนอกจากเรื่องส่วนตัวอดีตชาติของหมอคนนี้จะน่าสนใจ เเละอธิบายที่มา ที่ไปของหน้าตา และลักษณะร่างกายที่ไม่สมประกอบได้ จากการไปดู ไปเห็นมาด้วยตัวเอง สิ่งที่กำลังสร้างชื่อเสียงให้หมอดูคนนี้มากๆในเมืองไทย ตอนนี้คือ คำทำนายเรื่องการเมือง ในประเทศไทย ที่บรรดานักการเมืองไทยที่มีชื่อเสียง ทั้งที่ผ่านมา และ(เขาว่า)จะขี้นเเท่น นายกรัฐมนตรีคนต่อไป หลังคสช.หมดยุค ก็เรียกรอยยิ้มให้พรรคการเมืองที่หนุนหลังอยู่ในตอนนี้ได้ เเต่จะจริงขนาดไหน สมราคาค่าชวนคุยที่เรียกเก็บเงินเป็นนาทีหรือเปล่า ก็ต้องเป็นเรื่องที่คนไทยเราคอยดูต่อไป
วิชาที่ทรงศึกษา คือ ศิลปศาสตร์ 18 ประการ
อันเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้จะเป็นกษัตริย์
จะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการ คือ
1. ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
2. รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
3. นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
4. พาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
5. อักษรศาสตร์ วิชาวรรณคดี
6. นิรุกติศาสตร์ วิชาภาษาทั้งของตน และของชนชาติ ที่เกี่ยวข้องกัน
7. คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
8. โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาว
9. ภูมิศาสตร์ วิชาดูพื้นที่ และรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
10.โหราศาสตร์ วิชาโหรรู้จักพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ
11.เวชศาสตร์ วิชาแพทย์
12.เหตุศาสตร์ วิชาว่าด้วยเหตุผล หรือตรรกวิทยา
13.สัตวศาสตร์ วิชาดูลักษณะสัตว์ และรู้เสียงสัตว์ว่าดี หรือร้าย
14.โยคศาสตร์ วิชาช่างกล
15.ศาสนศาสตร์ วิชาศาสนารู้ความเป็นมา และหลักศาสนาทุกศาสนา
16.มายาศาสตร์ วิชาอุบาย หรือตำหรับพิชัยสงคราม
17.คันธัพพศาสตร์ วิชาร้องรำ หรือนาฎยศาสตร์ และวิชาดนตรี หรือดุริยางค์ศาสตร์
18.ฉันทศาสตร์ วิชาการประพันธ์
เเต่ศาสตร์ทั้งหมดนี้ ก็ยังสู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านค้นพบหลังตรัสรู้เเล้วไม่ได้ โดยจะเห็นจากเรื่องราวตอนหนึ่งในพระไตรปิฏก ที่ได้กล่าวถึงนักทำนาย คนหนึ่งในสมัยพุทธกาลที่โด่งดัง และมีชื่อเสียงมาก และน่าจะมากกว่า นอสตราดามุสของฝรั่ง
จนถึง หมออีที สมัยนี้ก็ได้ เพราะทำนายได้เเม้กระทั่งกระดูกคนตาย คือ ท่านพระวังคีสะ ซึ่งมีประวัติที่น่าสนใจว่า ท่านเกิดในสมัยพุทธกาล ตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียน ตามคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์ จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษ อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์ กะโหลกซากศพ แม้ตายแล้วตั้งสามปี สามารถรู้ว่า ไปเกิดเป็นอะไร ณ ที่ไหน
จนถึง หมออีที สมัยนี้ก็ได้ เพราะทำนายได้เเม้กระทั่งกระดูกคนตาย คือ ท่านพระวังคีสะ ซึ่งมีประวัติที่น่าสนใจว่า ท่านเกิดในสมัยพุทธกาล ตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียน ตามคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์ จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษ อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์ กะโหลกซากศพ แม้ตายแล้วตั้งสามปี สามารถรู้ว่า ไปเกิดเป็นอะไร ณ ที่ไหน
และวังคีสพราหมณ์ ได้อาศัยมนต์นั้นเป็นเครื่องเลี้ยงชีพไปตามเมืองต่างๆ พวกพราหมณ์ทั้งหลายที่สมัครใจมาเป็นบริวารท่าน ก็อาศัยการติดตามท่าน ออกเที่ยวหากินโดยใช้วิธีทำนาย ทายทัก เอาเล็บเคาะที่ศรีษะ กะโหลก ของคนที่ตายเเล้ว เพื่อบอกว่า ตายแล้วไปเกิดอยู่ที่ไหน ผู้คนก็สนใจ มาให้ทำนายกันเป็นจำนวนมาก ได้เงินทองมากมาย จนวันหนึ่งระหว่างทางเห็นคนมากมายเดินทางไปกราบไหว้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกพราหมณ์ผู้ติดตามจึง พาท่านไปประลองฤทธิ์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำนายลักษณะกระโหลกของคนตาย 5 กระโหลก ท่านวังคีสะ ทำนายได้เพียง 4 อีกหนึ่งทำนายไม่ได้ เนื่องจาก เป็นกระโหลกของพระอรหันต์ เเต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำนายได้ วังคีสพราหมณ์จึงออกบวช เพราะอยากเรียนมนต์นั้น หลังอุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาทรงประทานกรรมฐาน มีอาการสามสิบสอง เป็นอารมณ์ ตรัสสั่ง ให้ท่องบ่น บริกรรมซึ่งมนต์นั้น ผ่านไปสองสามวันเท่านั้น ท่านพระวังคีสะ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคล ในพระพุทธศาสนา และทรงทราบว่ามนต์ที่ท่านเรียนมาเเต่เเรก สู้มนต์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้ไม่ได้เลย เพราะทำให้ ไม่ต้องกลับ มาเกิด เเก่ เจ็บ ตาย อีกครั้ง ดังนั้นเวลาท่าน ไปเฝ้าพระบรมศาสดาในที่ใด เวลาใด ย่อมกล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณของพระองค์บทหนึ่ง ๆ ก่อนเสมอ
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ายุคสมัย จะเปลี่ยนไปเท่าไร คำทำนายก็ยังมีผลต่อมนุษย์อยู่เสมอ ตราบเท่าที่เรายังไม่รู้ว่า เราเป็นใคร มาจากไหน เเละจะไปที่ใด หากเเต่ให้ความเชื่อเหล่านี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานการไตร่ตรอง ถูกผิด ด้วยปัญญา แล้วผลที่ได้มาจึงจะเป็นคุณมากกว่าโทษ
เเหล่งอ้างอิง:
มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=5172
http://news.tlcthai.com/news-interest/618834.html
ธรรมะพีเดีย http://www.thammapedia.com/sankha/maha_vangisa.php
บทความเชียนใด่ดีมาก กระชับเข้าใจงา่ย
ตอบลบมันคนละคลาสกัน
ตอบลบ