🌏 เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอวดอุตริฯหรือไม่ ในกรณีที่มาบอกว่า สตีฟ จอบส์ หรือคนนั้น คนนี้ ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ชาติที่เเล้วเป็นอะไร หรือไปทำกรรมอะไรมา ?
หากผู้อ่านเกลียดวัดพระธรรมกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาอ่านจั่วหัวเรื่องนี้ ก็คงมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่า "เจ้าอาวาสวัดนี้ อวดอุตริฯจริง" ซึ่งไหนๆ ก็คิดว่าจริงแล้ว ก็อยากให้อ่านต่ออีกนิด โดยผู้เขียนก็ไม่ได้หวังจะให้ผู้อ่านเปลี่ยนใจอะไรหรอก แต่อยากให้ผู้อ่านมีข้อมูลอีกด้านว่า เจ้าอาวาสท่านอวดอุตริฯจริงๆ หรือเป็นเพราะเราหลงเชื่อตามๆ กันมาโดยที่ไม่ได้ศึกษาจริงจังกันแน่
แล้วอีกอย่างก่อนจะกล่าวหา หรือหลงเชื่ออะไรใคร ปกติของผู้มีปัญญา เขาจะทำความเข้าใจศึกษาข้อมูลในสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ!!!
ดังนั้น ก่อนจะกล่าวหาว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อวดอุตริฯ หรือ make เรื่องมั่วๆ มาหลอกคน ก็อยากจะถามผู้อ่านว่าเข้าใจคำว่า "อวดอุตริมนุสธรรม" มากแค่ไหน ? คำนี้หมายถึงอะไร ? มีความหมายครอบคลุมแค่ไหน ?
คำว่า "อวดอุตริมนุสธรรม" พูดง่ายๆ ก็คือ การกระทำของพระที่อวดอ้างคุณความดีหรือคุณวิเศษของตน ถ้าตัวท่านมีคุณวิเศษอย่างนั้นจริงๆ ก็ถือเป็นอาบัติเบา ที่เรียกว่า "อาบัติปาจิตตีย์" แต่ถ้าท่านไม่มีคุณวิเศษอย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นอาบัติหนักถึงขั้น "ปาราชิก"
เหมือนคนเอาทรัพย์สมบัติมาอวดว่าตัวเองมั่งมี ถ้าเป็นของตัวเองจริง คนอื่นก็แค่หมั่นไส้ แต่ถ้าสมบัติที่เอามาโอ้อวดนั้นไม่ใช่ของตัวเอง อันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจไปขโมยหรือปล้นเขามา อย่างนี้ตำรวจก็จะจับ
แต่ถ้าพระผู้มีคุณวิเศษนั้นจริงๆ แล้วใช้คุณวิเศษ เช่น ใช้ความทรงอภิญญามาเทศน์สอน เพื่อประโยชน์แห่งการพ้นทุกข์ของญาติโยม โดยมิได้มีเจตนาเพื่อโอ้อวดตนเลย ก็ไม่ถือว่าอวดอุตริฯ เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม โดยการระลึกชาติแล้วเอามาสอน โดยตรัสว่า คนนั้น คนนี้ ตายแล้วไปไหน อดีตชาติทำกรรมอะไรมา จะต้องแก้ไขปรับปรุงตัวอย่างไร ซึ่งอย่างนี้ถือว่าไม่เป็นการอวดอุตริฯ แต่อย่างใด !!!เหมือนคนเอาทรัพย์สมบัติมาอวดว่าตัวเองมั่งมี ถ้าเป็นของตัวเองจริง คนอื่นก็แค่หมั่นไส้ แต่ถ้าสมบัติที่เอามาโอ้อวดนั้นไม่ใช่ของตัวเอง อันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจไปขโมยหรือปล้นเขามา อย่างนี้ตำรวจก็จะจับ
หรือกรณีของพระโมคัลลานะที่เหาะไปดูวิมานบนสวรรค์แล้วเอามาทูลถามพระพุทธเจ้า ก็ไม่ถือว่าอวดอุตริฯ เช่นกัน
หรืออย่างในยุคใกล้ๆ นี้ เช่น หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ท่านใช้สิ่งที่ได้จากการทำสมาธิขั้นสูง อธิบายนรกสวรรค์ และช่วยมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือเอาบุญไปช่วยมนุษย์ที่ตายไปแล้ว ก็ไม่ถือเป็นการอวดอุตริฯ เช่นกัน
มาถึงกรณีของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หากคุณลองปลอมตัวเข้ามาเป็นสาวกวัดนี้ คุณจะพบว่า ท่านไม่เคยพูดโอ้อวดตัวถึงความทรงอภิญญาใดๆ ของท่านเลย แถมเวลาจะเทศน์สอนยังพูดทุกครั้งแถมย้ำว่า “หลับตา ฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา...ให้พอเป็นความรู้ติดแข้งติดขา ถ้าจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
แถมไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะกล่าวอ้างตัวเองว่า ท่านนั่งสมาธิไปดูด้วยตัวเอง หรือใช้ญาณทัสสนะของท่านไประลึกชาติ เพื่อดูเรื่องราวในอดีตหรือดูการไปเกิดมาเกิดของใคร เพราะฉะนั้น การเล่าเรื่องในลักษณะนี้ จึงไม่ใช่การอวดอุตริมนุสธรรม แต่มีจุดประสงค์มุ่งเน้นสอนคนให้นรู้และเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม
จากพฤติกรรมของท่านจะเห็นว่า นอกจากไม่อวดอุตริฯ แล้ว ต้องบอกว่า ท่านยังถ่อมตัวด้วยซ้ำ เพราะลองคิดดูเถอะ หากคนๆ หนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี ก็นั่งสมาธิทั้งวี่ทั้งวันกับแม่ชีที่สำเร็จวิชชาที่เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่วัดปากน้ำมาตลอด (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) และพอเรียนจบปริญญาตรี ก็บวช และนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้านับเวลาถึงตอนนี้ก็นั่งสมาธิมายาวนานถึง 54 ปี โดยไม่ขาดแม้แต่เพียงวันเดียว แถมนั่งที..ก็ไม่ใช่นั่งแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง เพราะปกติท่านนั่งครึ่งค่อนวันหรือทั้งวัน
ตรงจุดนี้ อยากให้ทำใจเป็นกลางๆ แล้วลองคิดดูเถอะว่า ท่านนั่งสมาธิเยอะขนาดนี้ จะไม่บรรลุธรรมะอะไรบ้างเลยรึ ? และที่มากไปกว่านั้นท่านยังอ่านพระไตรปิฎกจนหมด สวดปาฏิโมกข์ได้ทั้งแบบสวดไปและสวดย้อนกลับอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ดูหนังสือเลย ซึ่งพระอย่างนี้จะไม่มีคุณวิเศษอันใดเลยรึ ?
แต่แม้จะเล่าความจริงขนาดนี้ คนที่เกลียดวัดพระธรรมกายก็คงไม่เชื่ออยู่ดี แต่ไหนๆ ก็อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็อยากให้อ่านต่ออีกนิด เพราะกำลังเข้าประเด็นที่สงสัยกันมาก คือ เรื่องชีวิตหลังความตาย เรื่องการระลึกชาติ เรื่องตายแล้วไปไหน ?
อันที่จริงแล้ว..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัยของเหล่าผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญา หรือผู้ที่บรรลุวิชชา 3 ที่สามารถกำหนดรู้ในการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรมด้วยการใช้ “จุตูปปาตญาณ”
อีกทั้งจากประวัติและเรื่องราวที่มีบันทึกของพระสายกรรมฐาน พระวิปัสสนาจารย์ หรือบรรดาพระเกจิผู้มีรู้มีญาณชื่อดังในยุคปัจจุบันหลายๆ รูปท่านก็สามารถระลึกชาติ และล่วงรู้การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ทั้งหลายได้ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่บุดดา ฯลฯ
โดยเฉพาะในพระไตรปิฎก ก็ระบุไว้ชัดหลายเเห่ง เช่น นางวิสาขา ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นมเหสีของผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 26 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ-เถร-เถรีคาถา) http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=1507&Z=1579
หรือ โตเทยยพราหมณ์ ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านตนเอง (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 13 มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์)
หรือ โตเทยยพราหมณ์ ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านตนเอง (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 13 มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์)
เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่จะตรองตามด้วยการฟังและการอ่านให้เข้าใจได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วยตนเองว่าสามารถทำได้จริงและมีจริงๆ ขอเพียงแค่เราปฏิบัติจริงจังอย่างถูกวิธี ตั้งใจนั่งสมาธิ เราก็สามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวของเราเองได้ เหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
เพราะฉะนั้น การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้นำเรื่องราวชีวิตหลังความตายของสตีฟ จอบส์ มาเล่า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งก็สุดแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน เราคงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้ เพราะตราบใดที่เรายังไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์จริงๆ ด้วยการลงมือปฏิบัติธรรมให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองก็คงยากที่จะเข้าใจ ดังนั้นเราควรจะพิสูจน์สิ่งนี้ด้วยตัวเองดีกว่า คือ ลองนั่งสมาธิจนได้อภิญญาญาณ แล้วก็นั่งไปดูว่าสตีฟ จอบส์ ตายไปแล้วไปอยู่ไหน เพื่อดูสิว่า..จะเหมือนกับที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายท่านเล่าไหม แล้วค่อยมาคุยกันต่อในเรื่องนี้ดีกว่า…
ขอบคุณ ธัน ธนวรรธ http://hot-answer.blogspot.de/2016/05/blog-post_10.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น