วันนี้หลวงพ่อเขียนบอกว่า
- ตื่นมาไอทั้งคืน เลยเจ็บอก
- เเสดงว่ายังดีไม่เต็มที่ เเต่คงดีขึ้น เพราะได้กำลังใจจากทุกคน
อายุ วัณโณ สุขัง พลัง
4 ต.ค.42
...................................
ตั้งความหวังไว้ว่า อาการหลวงพ่อจะต้องดีวันดีคืนอย่างเเน่นอน
จึงได้นัดซินเเสให้มาเเมะหลวงพ่อในตอนบ่าย
ก่อนหน้าที่ซินเเสจะเข้ามาเเมะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาหมอ 3 ท่าน
จากโรงพยาบาลเเห่งหนึ่งเข้ามาพบหลวงพ่อในกุฎิ
ตำรวจไม่ได้พาหมอมารักษา เเต่พามาตรวจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าหลวงพ่อป่วย
ทั้งๆที่มีใบรับรองเเพทย์ขออนุญาตเลื่อนการเดินทางที่จะไปพบอัยการออกไปก่อน
เเล้วเขาก็ให้คุณหมอคนที่มีอายุน้อยที่สุดมาจับชีพจร ดูตาหลวงพ่อ
ให้หลวงพ่ออ้าปากเเล้วส่องไฟฉายเข้าไปข้างในปาก ซึ่งได้ทราบภายหลังว่า
คุณหมอท่านนี้เป็นหมอทางโรคผิวหนัง
พอตรวจเสร็จคุณหมอท่านนี้ก็จดข้อความบางอย่างลงในกระดาษ
เเล้วส่งให้หมอที่อวุโสสุด จากนั้นก็มีผลที่สรุปออกมาว่า
หลวงพ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก หลวงพ่อสามารถไปที่อัยการในวันนี้ได้
ไปอัยการได้ นี่มันอะไรกันอีกเเล้ว ผมงง!!!!!
ในเมื่อก็มีใบรับรองเเพทย์จากคุณหมอบรรลือยืนยัน ทำไมเขาไม่เชื่อ
ทั้งๆที่คุณหมอบรรลือซึ่งเป็นเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูก โดยตรง
เเละดูเเลรักษาหลวงพ่อมาอย่างต่อเนื่อง
มีทั้งอุปกรณ์การเเพทย์ที่ครบครัน เเต่ทำไมกลับมาสรุปความเห็น
ของตัวเองจากการตรวจเพียงเเป๊บเดียว เเล้วก็ตรวจไม่กี่นาที
มีไฟฉายกับไม้กดลิ้นเท่านั้น เเล้วก็ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทาง หู คอ จมูก อีกด้วย
ทั้งๆที่หลวงพ่อก็ได้เขียนขอร้องให้เลื่อนการไปพบอัยการออกไปก่อน
หลวงพ่อบอกว่าหลวงพ่อไม่สบายจริงๆเเต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจ
ยังยืนยันและสรุปเหมือนเดิมว่าหลวงพ่อสามารถไปพบอัยการได้
เมื่อคำขอร้องของหลวงพ่อไม่เป็นผล
ทำไมไม่มีใครเห็นใจ หรือพูดอะไรออกมา ทุกคนต่างเงียบกันหมด
ผมอึดอัดจนรู้สึกทนไม่ไหว เลยหยิบข้อความที่หลวงพ่อเขียนขอร้อง ขึ้นมาอ่านดังๆ
ให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยินกันชัดๆถึง 3 รอบว่า
1.คุณหมอจ๊ะ หลวงพ่อขอความกรุณาเถอะ วันนี้ไปไม่ไหวจริงๆหลวงพ่อทราบดีว่า
เป็นขั้นตอนกฏหมาย หลวงพ่อไม่หนีหรอกจ๊ะ
2.หลวงพ่อรับผิดชอบเองจ๊ะ
เเต่ก็ยังไม่เป็นผล ยังไงเขาก็ต้องเอาหลวงพ่อไปอัยการในวันนี้ให้ได้
ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเราถูกรังเเก ที่ผ่านมา อาการหลวงพ่อหนักขนาดไหน
คุณหมอ 3 ท่านนี้ก็ไม่รู้ พอมาวันนี้อาการของหลวงพ่อเพิ่งจะดีขึ้นมาหน่อย
ก็มาโดนเเบบนี้ซ้ำอีก ผมรู้สึกเสียใจที่สุด
สุดท้ายหลวงพ่อก็ต้องออกเดินทางไปอัยการ
บันทึกฉบับวันต่อวัน ที่อุปัฏฐาก หลวงพ่อธัมมชโยได้บันทึกเหตุการณ์ไว้
ความน่าทึ่งคือเรื่องที่เกิด หมุนวนซ้ำมาอีก
เเละเป็นการยืนยันจากบุคคลใกล้ชิดเเน่นอนว่า
ท่านป่วยมานานเเล้ว ไม่ได้ออกจากวัดไปไหน
จากอายุหกสิบกว่า จนถึงวันนี้ เจ็ดสิบกว่า
เวลาสิบปีสำหรับคนเเก่ที่ป่วยข้างนอก ทำอะไรได้บ้างเราไม่รู้
เเต่เวลาสิบปีของพระภิกษุรูปนี้
วัย 72 ปีของท่าน ได้สร้างผลงานช่วงป่วยไว้มากมาย
ไม่ใช่เเค่ช่วยระดับหมุนเศรษฐกิจชาติ เเต่สร้างสังคมที่เข้มเเข็ง เปิดโครงการครอบครัวอบอุ่น
เเละที่สำคัญที่สุดในระดับตัวบุคคล ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อสอนการปฏิบัติธรรม
โดยเอาตัวของท่านเอง เป็นทั้งลูกศิษย์ เเละอาจารย์ คือปฏิบัติได้ผลจริง
จึงมาสอนต่อบุคคลอื่นให้ เข้าถึงความสุขภายในอย่างง่ายๆ
มีสิ่งยึดเหนี่ยว ที่พึ่งทางใจ ถูกหลักของศาสนาพุทธ
บุคคลเช่นนี้ หาได้ยากยิ่ง
เเต่ก็วันนี้เช่นกันที่สังคมกำลังสับสน
มองคนดี กับคนชั่ว ผ่านการกระทำของสื่อที่บอกไม่หมด
ความจริงถูกปิดไว้ กลับเอาความพอใจมานำหน้า
เเละผลงานระดับชาติ ที่คิดว่าการล้มล้างพุทธ ทำได้โดยใช้วิธีเดิมๆ
พรุ่งนี้มาติดตามต่อ จะทราบว่าหากเหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยน
จะเกิดอะไรขึ้น
หากยังดึงดันเอาคนไม่ผิดไปรับหมายศาล
เเละทำไม? วันนี้คนวัดถึงออกมาคัดค้านการไปดีเอสไอ
เเต่ขอตั้งรับ รอที่วัดเเทน
เหตุการณ์จะไม่เกิดซ้ำรอยเดิมแน่นอน
ตอบลบ