การวิพากษ์นี้....มุ่งประเด็นกรณีพระเทพญาณมหามุนี
(พระธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย)
ข้อเขียนนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตจากกรณีที่ศาลอาญา
ได้ออกหมายจับ ตามคำร้องของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI)
โดยมีการไต่สวนคำร้องที่เปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายเจ้าหน้ารัฐ
และฝ่ายของตัวแทนผู้ต้องหา คือ พระธัมมชโย
ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร
ซึ่งการสอบสวนคดีนี้ยังไม่เสร็จสิ้น
แม้ในส่วนคดีนี้ที่ทางฝ่ายผู้ต้องหามีข้อโต้แย้งหลายประการ
ตามที่ทราบกันทั่วไปในการแถลงข่าวและขอความเป็นธรรมไปบ้างแล้วนั้น จึงไม่ขอลงรายละเอียดเนื้อหาในคดี
เพราะอาจจะกระทบต่อรูปคดี ซึ่งผู้เขียนไม่มีความเกี่ยวข้อง
แต่ในฐานะนักกฎหมายผู้หนึ่งและต่อสู้ในทางสิทธิมนุษยชน จึงขอตั้งข้อสังเกตที่เป็นการจับตาไปยังท่าทีและแนวทางของดีเอสไอ (DSI) ว่าจะดำเนินอย่างไรจึงจะเป็นการเหมาะสม และชอบธรรมเมื่อมี "หมายจับ!"หากกล่าวถึงเหตุออกหมายจับ ตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 66
ย่อมหมายความว่า ถ้าไม่มีเหตุออกหมายจับ
ศาลจะออกหมายจับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม
แม้มีเหตุออกหมายจับศาลก็ไม่อาจจะไม่ออกหมายจับก็ได้
ไม่มีกฎหมายมาตราใดบังคับว่า หากมีเหตุออกหมายจับแล้วศาลต้องออกหมายจับหากศาลเห็นว่าบุคคลนั้นไม่หลบหนีอย่างแน่นอน
ศาลอาจไม่ออกหมายจับก็ได้ แม้จะมีเหตุออกหมายจับก็ตาม
ซึ่งพนักงานสอบสวนก็จะต้อง "นัดหมาย" หรือออก "หมายเรียก" บุคคลนั้นต่อไป หากบุคคลนั้นไม่มาตามนัดหรือหมายเรียก
พนักงานสอบสวนย่อมร้องขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้ตามมาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งศาลก็จะใช้ดุลพินิจว่าจะออกหมายจับตามคำร้องขอครั้งที่สองของพนักงานสอบสวนหรือไม่???
หลวงพ่อธัมมชโย ยืนยันว่าไม่หนี!! แต่ทำไมมีข่าวว่า
DSI จะนำทัพทหารพร้อมรถถังมาจับพระชราภาพรูปเดียว
เพื่ออะไร!!???
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า ศาลอาญาได้ออกหมายจับ แต่ดีเอสไอก็ใช่ว่าจะต้องจับพระธัมมชโย เพราะเหตุว่าพระธัมมชโยไม่มามอบตัวที่ดีเอสไอภายในเจ็ดวัน หรือตามที่ขีดเส้นตายไว้ กระบวนการในทางอาญายังมีหลักการเป็นแนวทางปฏิบัติอีก จึงอยู่ที่ว่าดีเอสไอ (DSI) จะใช้อำนาจของตนอย่างไร ทั้งนี้ มีข้อพิจารณาอยู่ว่า
ก.พระธัมมชโย ท่านไม่มาที่ดีเอสไอ (DSI)เพราะเหตุใด
มีเหตุอันสมควรหรือไม่???
ข. การต้องบังคับจับกุมตามหมายจับ จะกระทำด้วยความเหมาะสมแก่สถานะของพระธัมมชโย(พระภิกษุ) อย่างไร???
ค. หากดีเอสไอ (DSI) เห็นว่าไม่มามอบตัว จะต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธเข้าไปจับกุมในวัดพระธรรมกาย อะไรจะเกิดขึ้น???
อะไรจักเกิดขึ้น...อาจจะมีมือที่ 3 สร้างสถานการณ์แตกร้าว
หรือต้องให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย!! DSI จึงจะหยุด???
เพื่อให้โอกาสแก้ข้อหาได้เต็มที่(ย้ำว่าขั้นตอนแจ้งข้อหา)
ซึ่งในทางคดี ดีเอสไอควรต้องมีพยานหลักฐานพอสมควร
และสามารถกล่าวหาพระธัมชโยได้อย่างหนักแน่น
ข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้น หากเทียบกับคดีที่มีพระรูปหนึ่งที่ร่วมจัดการชุมนุมทางการเมืองและถูกตั้งข้อหาร้ายแรง ศาลอาญาได้ออกหมายจับไปแล้ว แต่ยังไม่มีจับกุมจนกระทั่งมีกระแสข่าวว่า มีการถอนหมายจับในทางสอบสวน
เมื่อสอบเสร็จแล้วส่งสำนวนให้อัยการคดีพิเศษยังได้รับโอกาส
ให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว ยังไม่สั่งฟ้องต่อศาลกลับ
ทอดเวลานานนับปีได้ .....
(ทำไมพระอีกรูปนั้นยังเดินลอยหน้าลอยตากร่างในสังคมอยู่ได้ แต่ดีเอสไอ (DSI) ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น!!!??)
แม้ไม่เอ่ยชื่อ!! แต่ทั้งประเทศก็รู้ว่า
พระอีกรูปที่เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบไม่เกรงกลัวใคร
ยังสามารถลอยหน้าลอยตาแบบไม่มีใครกล้าจับได้ เพราะอะไร?
ดีเอสไอและอัยการทำอย่างไร เคยมีการชี้แจงต่อสาธารณชนหรือไม่ ???ดังนั้นด้วยกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของดีเอสไอใช่หรือไม่!!???แต่อย่างไรก็ตาม กรณีกล่าวหาพระธัมมชโยนี้...
ย่อมจะเป็นสิ่งที่จะสะท้อนถึงบทบาทหน้าที่ของดีเอสไอ
ที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม มีรัฐมนตรียุติธรรม
กำกับดูแลทางด้านนโยบาย ด้านอื่นจะมีหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นในที่นี้
นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงการทำงานของคณะพนักงานสอบสวนได้ไม่น้อยในห้วงภาวะการเมืองและอำนาจการปกครองประเทศ
อย่างมีนัยยะหรือไม่ !!???
เพราะผู้คนที่สนใจ อาจมองไปถึงผู้ที่กล่าวโทษตั้งรูปคดีด้วยว่าบุคคลเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร !!!???
ช่างน่าสงสัย!!?? ใครฟ้องพระธัมมชโย
แล้วคู่กรณีอื่นๆ ทำไม DSI ไม่เร่งคดีอย่างนี้เล่า???
สอดรับกับการตั้งข้อรังเกียจของผู้ใดหรือไม่???
ข้อกล่าวหาเป็นไปตามหลักกฎหมายที่เป็นฐานความผิดชัดแจ้ง
และมีพยานหลักฐานได้มั่นคงเพียงใด???
ในทางการสอบสวนและรูปคดี ที่ผ่านมาไม่เพียงเฉพาะดีเอสไอเท่านั้น แต่รวมถึงพนักงานสอบสวนในคดีทั่วไป จะเป็นคดีดัง
คดีสะเทือนขวัญ คดีการเมืองก็ตาม การกล่าวหาและการสอบสวน
ที่มี ก็ล้วนแต่เป็นการผลักภาระไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด
ซึ่งหากต้องสมมุติฐานทางการสอบสวนมาเช่นใดพนักงานอัยการ
ก็ต้องสั่งฟ้องตามพนักงานสอบไป แล้วสุดท้ายภาระทั้งหมด
ในการแก้ต่างต่อสู้คดีก็ตกแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย
ซึ่งจากคำพิพากษาต่างๆ ในคดีอาญา
คำวินิจฉัยและเหตุผลประกอบมักปรากฎว่าให้น้ำหนักแก่การทำงานของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการไม่มีสาเหตุโกรธเคือง ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้ต้องหาหรือจำเลยมาก่อน และปฏิบัติหน้าที่ราชการปราศจากอคติใดๆ แล้วท้ายที่สุดพิพากษาลงโทษจำเลยคดีนี้จึงเป็นอีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจว่า...
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย จะพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าหรือความถดถอยไปหรือไม่ อย่าได้มองเพียงว่า ผลประโยชน์ที่อาจมีวาระซ่อนเร้นจากความขัดแย้งนี้จะตกที่ผู้ใดหรือไม่
แต่อาจต้องมองว่าประชาชนพลเมืองไทยจะต้องเผชิญกับระบบยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมไปอีกกี่ปีกี่สมัยกัน
วลีที่ให้ประชาชนต้องเคารพกฎหมาย
มิใช่เป็นการใช้กฎหมายตามใจคนใช้
แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำให้คนใช้อำนาจตามกฎหมาย
น่าเคารพและเป็นที่ยอมรับได้!!!
Cr.วิญญัติ ชาติมนตรี
23 พ.ค.2559
อ้างอิงจาก : http://www.prachatai.com/journal/2016/05/65923
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น