วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หมายจับ'พระธัมมชโย'กับความชอบธรรมของดีเอสไอ(DSI) 

การวิพากษ์นี้....มุ่งประเด็นกรณีพระเทพญาณมหามุนี
(พระธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย) 

ข้อเขียนนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตจากกรณีที่ศาลอาญา 
ได้ออกหมายจับ ตามคำร้องของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 
กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI)
โดยมีการไต่สวนคำร้องที่เปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายเจ้าหน้ารัฐ
และฝ่ายของตัวแทนผู้ต้องหา คือ พระธัมมชโย 
ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร 

ซึ่งการสอบสวนคดีนี้ยังไม่เสร็จสิ้น 
แม้ในส่วนคดีนี้ที่ทางฝ่ายผู้ต้องหามีข้อโต้แย้งหลายประการ 
ตามที่ทราบกันทั่วไปในการแถลงข่าวและขอความเป็นธรรมไปบ้างแล้วนั้น จึงไม่ขอลงรายละเอียดเนื้อหาในคดี 
เพราะอาจจะกระทบต่อรูปคดี ซึ่งผู้เขียนไม่มีความเกี่ยวข้อง 
แต่ในฐานะนักกฎหมายผู้หนึ่งและต่อสู้ในทางสิทธิมนุษยชน จึงขอตั้งข้อสังเกตที่เป็นการจับตาไปยังท่าทีและแนวทางของดีเอสไอ (DSI) ว่าจะดำเนินอย่างไรจึงจะเป็นการเหมาะสม และชอบธรรมเมื่อมี "หมายจับ!"
หากกล่าวถึงเหตุออกหมายจับ ตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 66 
ย่อมหมายความว่า ถ้าไม่มีเหตุออกหมายจับ 
ศาลจะออกหมายจับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม 
แม้มีเหตุออกหมายจับศาลก็ไม่อาจจะไม่ออกหมายจับก็ได้ 
ไม่มีกฎหมายมาตราใดบังคับว่า หากมีเหตุออกหมายจับแล้วศาลต้องออกหมายจับ 
หากศาลเห็นว่าบุคคลนั้นไม่หลบหนีอย่างแน่นอน 
ศาลอาจไม่ออกหมายจับก็ได้ แม้จะมีเหตุออกหมายจับก็ตาม 
ซึ่งพนักงานสอบสวนก็จะต้อง "นัดหมาย" หรือออก "หมายเรียก" บุคคลนั้นต่อไป หากบุคคลนั้นไม่มาตามนัดหรือหมายเรียก 
พนักงานสอบสวนย่อมร้องขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้ตามมาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งศาลก็จะใช้ดุลพินิจว่าจะออกหมายจับตามคำร้องขอครั้งที่สองของพนักงานสอบสวนหรือไม่???


หลวงพ่อธัมมชโย ยืนยันว่าไม่หนี!! แต่ทำไมมีข่าวว่า
 DSI จะนำทัพทหารพร้อมรถถังมาจับพระชราภาพรูปเดียว
เพื่ออะไร!!???

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า ศาลอาญาได้ออกหมายจับ แต่ดีเอสไอก็ใช่ว่าจะต้องจับพระธัมมชโย เพราะเหตุว่าพระธัมมชโยไม่มามอบตัวที่ดีเอสไอภายในเจ็ดวัน หรือตามที่ขีดเส้นตายไว้ กระบวนการในทางอาญายังมีหลักการ
เป็นแนวทางปฏิบัติอีก จึงอยู่ที่ว่าดีเอสไอ (DSI) จะใช้อำนาจของตนอย่างไร ทั้งนี้ มีข้อพิจารณาอยู่ว่า

ก.พระธัมมชโย ท่านไม่มาที่ดีเอสไอ (DSI)เพราะเหตุใด 
มีเหตุอันสมควรหรือไม่???

ข. การต้องบังคับจับกุมตามหมายจับ จะกระทำด้วยความเหมาะสมแก่สถานะของพระธัมมชโย(พระภิกษุ) อย่างไร???

ค. หากดีเอสไอ (DSI) เห็นว่าไม่มามอบตัว จะต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธเข้าไปจับกุมในวัดพระธรรมกาย อะไรจะเกิดขึ้น???
อะไรจักเกิดขึ้น...อาจจะมีมือที่ 3 สร้างสถานการณ์แตกร้าว
หรือต้องให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย!! DSI จึงจะหยุด???

ง. คดีนี้ เป็นเพียงขั้นตอนแรกที่ดีเอสไอ (DSI) จะแจ้งข้อกล่าวหา
เพื่อให้โอกาสแก้ข้อหาได้เต็มที่(ย้ำว่าขั้นตอนแจ้งข้อหา) 
ซึ่งในทางคดี ดีเอสไอควรต้องมีพยานหลักฐานพอสมควร
และสามารถกล่าวหาพระธัมชโยได้อย่างหนักแน่น
ข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้น หากเทียบกับคดีที่มีพระรูปหนึ่งที่ร่วมจัดการชุมนุมทางการเมืองและถูกตั้งข้อหาร้ายแรง ศาลอาญาได้ออกหมายจับไปแล้ว แต่ยังไม่มีจับกุม 
จนกระทั่งมีกระแสข่าวว่า มีการถอนหมายจับในทางสอบสวน
เมื่อสอบเสร็จแล้วส่งสำนวนให้อัยการคดีพิเศษยังได้รับโอกาส
ให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว ยังไม่สั่งฟ้องต่อศาลกลับ
ทอดเวลานานนับปีได้ .....
(ทำไมพระอีกรูปนั้นยังเดินลอยหน้าลอยตากร่างในสังคมอยู่ได้ แต่ดีเอสไอ (DSI) ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น!!!??)


แม้ไม่เอ่ยชื่อ!! แต่ทั้งประเทศก็รู้ว่า
พระอีกรูปที่เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบไม่เกรงกลัวใคร
ยังสามารถลอยหน้าลอยตาแบบไม่มีใครกล้าจับได้ เพราะอะไร?
ดีเอสไอและอัยการทำอย่างไร เคยมีการชี้แจงต่อสาธารณชนหรือไม่ ???ดังนั้นด้วยกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของดีเอสไอใช่หรือไม่!!???
แต่อย่างไรก็ตาม กรณีกล่าวหาพระธัมมชโยนี้... 
ย่อมจะเป็นสิ่งที่จะสะท้อนถึงบทบาทหน้าที่ของดีเอสไอ
ที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม มีรัฐมนตรียุติธรรม
กำกับดูแลทางด้านนโยบาย ด้านอื่นจะมีหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นในที่นี้ 

นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงการทำงานของคณะพนักงานสอบสวนได้ไม่น้อยในห้วงภาวะการเมืองและอำนาจการปกครองประเทศ
อย่างมีนัยยะหรือไม่ !!???
เพราะผู้คนที่สนใจ อาจมองไปถึงผู้ที่กล่าวโทษตั้งรูปคดีด้วยว่าบุคคลเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร !!!???
ช่างน่าสงสัย!!?? ใครฟ้องพระธัมมชโย
แล้วคู่กรณีอื่นๆ ทำไม DSI ไม่เร่งคดีอย่างนี้เล่า???

สอดรับกับการตั้งข้อรังเกียจของผู้ใดหรือไม่???
ข้อกล่าวหาเป็นไปตามหลักกฎหมายที่เป็นฐานความผิดชัดแจ้ง
และมีพยานหลักฐานได้มั่นคงเพียงใด???

ในทางการสอบสวนและรูปคดี ที่ผ่านมาไม่เพียงเฉพาะดีเอสไอเท่านั้น แต่รวมถึงพนักงานสอบสวนในคดีทั่วไป จะเป็นคดีดัง 
คดีสะเทือนขวัญ คดีการเมืองก็ตาม การกล่าวหาและการสอบสวน
ที่มี ก็ล้วนแต่เป็นการผลักภาระไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด 

ซึ่งหากต้องสมมุติฐานทางการสอบสวนมาเช่นใดพนักงานอัยการ
ก็ต้องสั่งฟ้องตามพนักงานสอบไป แล้วสุดท้ายภาระทั้งหมด
ในการแก้ต่างต่อสู้คดีก็ตกแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย 
ซึ่งจากคำพิพากษาต่างๆ ในคดีอาญา 
คำวินิจฉัยและเหตุผลประกอบมักปรากฎว่าให้น้ำหนักแก่การทำงานของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการไม่มีสาเหตุโกรธเคือง ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้ต้องหาหรือจำเลยมาก่อน และปฏิบัติหน้าที่ราชการปราศจากอคติใดๆ แล้วท้ายที่สุดพิพากษาลงโทษจำเลย
คดีนี้จึงเป็นอีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจว่า...
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย จะพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าหรือความถดถอยไปหรือไม่ อย่าได้มองเพียงว่า ผลประโยชน์ที่อาจมีวาระซ่อนเร้นจากความขัดแย้งนี้จะตกที่ผู้ใดหรือไม่ 
แต่อาจต้องมองว่าประชาชนพลเมืองไทยจะต้องเผชิญกับระบบยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมไปอีกกี่ปีกี่สมัยกัน

วลีที่ให้ประชาชนต้องเคารพกฎหมาย 
มิใช่เป็นการใช้กฎหมายตามใจคนใช้ 
แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำให้คนใช้อำนาจตามกฎหมาย
น่าเคารพและเป็นที่ยอมรับได้!!!


Cr.วิญญัติ ชาติมนตรี
23 พ.ค.2559
อ้างอิงจาก : http://www.prachatai.com/journal/2016/05/65923


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget