อยู่อพาร์ทเม้นท์ ก่อนลาสิกขา ย้ายมาเข้าแก๊ง 3 พ. จึงเดินงานด้วยอคติ เป็นฝ่ายปฏิปักษ์กับ "พระธัมมชโย" สงสัยดีเอสไอทำหน้าที่อย่างไร เชื่อพวกคนอคติ ใช้ข้อมูลฝ่ายปฏิปักษ์มาจัดการ จึงแสดงถึงเจตนาไม่สุจริต เชื่อข่าว
ปล่อยเงิน 2 พันล้าน มาจากฝ่ายตรงข้ามวัดพระธรรมกาย สร้างข้อหาบีบให้คสช. ทำตามความต้องการของฝ่ายปฏิปักษ์
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อ 31 พ.ค. โดยเชื่อว่า การปล่อยข่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกรับเงิน 2,000 ล้านบาท แลกกับการดำเนินคดีกับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี เป็นการใช้แหล่งข่าวสร้างวิชามารบีบบังคับให้จัดการกับพระธัมมชโยตามความต้องการของฝ่ายตัวเอง จึงสร้างข้อกล่าวหามาผูกมัดเอาไว้ แต่ข่าวเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับพระธัมมชโยเลย
นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ประกาศจะเล่นงานคนปล่อยข่าวทำลาย คสช. ให้ได้ แต่ รมว.ยุติธรรม คงไม่สามารถรู้ได้ว่า เป็นใคร กลุ่มไหน ดังนั้น ถ้าใช้สติอย่างมีเหตุผล จำแนกแยกแยะว่า ข่าวปล่อยเรียกรับเงิน 2,000 ล้านบาทนั้น ทำให้ใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์แล้ว ย่อมมองเห็นทางได้ชัดเจนว่า มาจากกลุ่มคนที่ต้องการเล่นงานพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายนั่นเอง
"พล.อ.ไพบูลย์ หรือ ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ถ้าลองคิดกันช้าๆ ว่า ใครได้ประโยชน์การปล่อยข่าวเช่นนี้ ถ้ามาจากศิษย์พระธรรมกายแล้ว ตนเชื่อว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข่าวนี้เลย ยกเว้นเป็นศิษย์วัดที่ออกไปแล้วมีปัญหากับวัด การปล่อยข่าวว่า คสช. เรียกเงิน 2,000 ล้านบาทนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากปล่อยข่าวเพื่อบีบให้ คสช.จัดการกับพระธัมมชโย เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตามตามความต้องการของคนพวกนี้ จึงต้องถูกข้อกล่าวหาค้ำคออยู่แล้วว่า เพราะเงิน 2,000 ล้านบาท ใช่หรือไม่ เป็นวิชามารชั้นประถม เพียงยืมมือสื่อมวลชนให้ตั้งคำถาม แล้วกลายเป็นประเด็นมัดรัฐมนตรี คสช. เอาไว้ ดังนั้น การประเมินทางการข่าวที่ออกมานั้น แค่มีสติว่า ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ใครที่พอจะเสี้ยมได้ ซึ่งกรณีนี้ไม่สลับซับซ้อนเลย คนที่ต้องการเล่นงานวัดพระธรรมกายนั่นละที่ปล่อยข่าวออกมาบีบ คสช. เพื่อให้เกิดการพะวาพะวงกับการถูกข้อหาว่า ไปรับเงิน 2,000 ล้านมา พล.อ.ไพบูลย์ จึงไม่อาจไปแจ้งความใครได้ เพราะเป็นข่าวปล่อยที่ต้องการให้เกิดการดำเนินการทางเดียว"
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ (31 พ.ค.) พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัด อ้อน้อย นครปฐม จะไปวัดชนะสงคราม เพื่อยื่นหนังสือต่อเจ้าคณะภาค 1 ให้จัดการกับพระธัมมชโย
แล้วอาจไปดีเอสไอแจ้งความดำเนินคดีตนข้อหาดูหมิ่นพนักงาน แต่หลังจากแจ้งความแล้ว ตนจะพิจารณาเนื้อหาคำร้องก่อน และตั้งใจว่า จะดำเนินคดีกลับเช่นกัน พร้อมกับไปตามทวงการดำเนินคดี 9 ข้อหาในชั้นอัยการสูงสุดด้วยที่ยังไม่ส่งฟ้องไปศาลอาญา ดังนั้น พุทธะอิสระต้องเจอคนอย่างตนจึงเหมาะสมกันที่สุด
ส่วนนายมโน เลาหวณิช ที่ไปเคลื่อนไหวร่วมกับแก๊ง 3 พ. ประกอบด้วย พุทธะอิสระ นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จึงกลายเป็นขบวการที่มุ่งเล่นงานพระธัมมชโยอยู่ในขณะนี้
นายมโน มีปูมหลังชีวิตอันน่าสงสัยอย่างยิ่ง เรียนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วมาบวชเป็นพระ มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยพระธัมมชโยออกทุนให้ นอกจากนี้ ยังมีการทำนายว่า คนนี้จะนำความเดือดร้อนมาสู่หมู่คณะ
ในช่วงวัดพระธรรมกายอยู่ระหว่างการสร้างวัดใหม่ๆ นายมโนได้รับการสนับสนุนให้ไปศึกษาต่างประเทศ โดยวัดได้ระดมทุนส่งให้ เพื่อหวังจะได้เผยแพร่พระพุทธศาสนา แต่เมื่อไปปกป้องผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมที่สหรัฐ แล้ว จึงมีแนวทางสวนทาง และขัดแย้งกับวัดพระธรรมกาย จากนั้นจึงลาออกจากวัดปี 2537 แล้วไปอยู่วัดราชโอรสาราม วัดนางชี และวัดนากปรก ทุกวัดที่ไปอยู่ล้วนเกิดความขัดแย้ง แล้วก็เปลี่ยนวัดไปเรื่อย กระทั่งต้องไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ แล้วลาสิกขาออกมาอยู่ทางโลก
นายจตุพร กล่าวว่า นายมโน ได้ไปทำงานที่พรรคชาติไทยอยู่พักหนึ่ง แล้วไปอยู่ นสพ.ผู้จัดการ แล้วหายหน้าไปพักใหญ่ กระทั่งมาอยู่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และต่อมาได้รู้จักกับนายไพบูลย์ จนเคลื่อนไหวร่วมกับแก๊ง 3 พ. ดังนั้น ประวัติของนายมโนจึงน่าสนใจมาก เพราะไม่อาจไปอยู่วัดที่ไหนได้เลย และเขาคิดอะไร ก่อนจะลาสิกขา จึงไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ในสถานภาพของสงฆ์ ซึ่งคนเช่นนี้หรือ อ้างว่า มาปฏิรูปพุทธศาสนา ทั้งที่มีปัญหากับวัดอื่นหมด จนไม่มีวัดให้อยู่ แล้วไปอยู่อพาร์ทเม้นท์
ในสังคมไทยนั้น คนปฏิบัติดีมักจะไม่ทำอะไรใคร ส่วนใหญ่จะนั่งแผ่เมตตาให้ สำหรับพุทธะอิสระแล้ว ตั้งแต่นำผ้าอนามัย กางเกงยีสต์ เสือยึดไปถวายสังฆทานสมเด็จช่วงแล้ว ตนจึงเห็นว่า คนนี้มากไป ไม่นับถือเป็นพระ และเมื่อดีเอสไอมารับฟังอะไรจากคนพวกนี้แล้ว ย่อมดำเนินการผิดมาแต่ต้น เพราะไปหารือกับคู่ปฏิปักษ์เพื่อไปจัดการกับปฏิปักษ์ การทำเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการของหน่วยงานรัฐเลย โดยเอาข้อมูลจากพวกที่มีความอคติและต้องการการล้มสมเด็จช่วง มาเป็นแนวทางทำงานจึงแสดงถึงการไม่ใช้หลักการทางกฎหมายตามที่ประกาศไว้
เมื่อดีเอสไอรับข้อรับเสนอให้สมเด็จช่วงนำกำลังเจ้าหน้าที่ไปจับกุมพระธัมมชโยนั้น ย่อมแสดงว่า ใช้วิธีการที่ผิด โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังออกมาเตือนว่า อย่าดึงสมเด็จช่วงมาเกี่ยวข้อง เพราะการปกครองสงฆ์มีขั้นตอนอยู่แล้ว จึงต้องไปหาเจ้าคณะภาค ดังนั้น การทำงานของดีเอสไอจึงสร้างความคลางแคลงใจให้ประชาชนอย่างมาก
สิ่งน่าสนใจอยู่ที่ พุทธะอิสระถูกคำสั่งศาลให้จ่ายเงินค่าเสียหายกับดีเอสไอในข้อหาพาพวกไปปิดล้อม นอกจากนี้ยังถูกดีเอสไอสอบสวน และส่งสำนวนข้อหาให้อัยการฟ้องศาลดำเนินคดีถึง 9 ข้อหา มีโทษประหารชีวิต ตนจึงสงสัยว่า แล้วดีเอสไอไปฟังความเห็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าดีเอสไอไม่โหมข่าวเตรียมกำลังพล 2,350 นาย ใช้เฮลิคอปเตอร์ เพื่อบุกวัดพระธรรมกายแล้ว ความตึงเครียดย่อมไม่เกิด เพราะการดำเนินการกับความเชื่อทางศาสนานั้นลึกล้ำกว่าความเชื่อทางการเมือง เมื่อยิ่งมีข่าวใช้กำลังพลรวบตัวแล้ว ศิษย์จึงหาทางป้องกันตามแต่ใครจะคิดได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จึงเข้าใจได้ถูกต้องแล้วว่า ควรหลีกเลี่ยงการปะทะ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้องและมีเจตนาไม่สุจริต
ถ้าดีเอสไอทำอย่างตรงไปตรงมา และไม่นำเอาพวกที่เป็นปฏิปักษ์ มีอคติไปร่วมประชุมหารือด้วยแล้ว ความรู้สึกไม่พอใจจะเกิดขึ้นน้อยกว่านี้ แต่การนำนายมโน ไปอธิบายภาพพื้นที่วัดพระธรรมกาย และพุทธะอิสระก็ต้องทำทุกวิถีทาง แต่การดำเนินการแต่ละเรื่องนั้นล้วนมีปัญหากับคณะสงฆ์ทั้งนั้น ด้วยการเสนอปฏิรูปพุทธศาสนา ด้วยการยึดทรัพย์ และยกเลิกสมณศักดิ์ ซึ่งจะทำให้พระมีความเท่ากันหมด และยังมีสมณศักดิ์เสมอกันกับพุทธะอิสระด้วย
"ดีเอสไอ ไปอยู่กับคนเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะคนพวกนี้มาเรียกร้องให้ทำเรื่องต่างๆ ขณะเดียวกันบางเรื่องยังไปเชื่ออีก ทั้งที่จริงแล้ว นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ไพบูลย์ ลองไปด้วยพิจารณาคดีอื่นด้วยว่า การแจ้งข้อกล่าวหาจำเป็นต้องมาสถานทีใดสถานที่หนึ่งหรือไม่ แต่กรณีนี้เมื่อรู้ว่า มีความละเอียด อ่อนไหว แต่กลับไปสร้างความเจ็บแค้นให้กับคน ทั้งๆที่ทางวัดพระธรรมกายยินดีให้เข้ามาแจ้งความ ให้พาแพทย์มาตรวจด้วย หากเขากีดกันไม่ให้แพทย์มาตรวจแล้ว จึงน่าเป็นที่สงสัย และไปทะเลาะกับคน 6 ล้านคน ทำไม"
นายจตุพร กล่าวว่า อัตราโทษของพระธัมมชโยเทียบไม่ได้กับพุทธะอิสระที่มีคดีและมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตเลย แต่ดีเอสไอกลับปล่อยวางเฉยไม่ดำเนินการ แล้วให้เคลื่อนไหวไปทั่ว ดังนั้น ดีเอสไอจึงมีเจตนาน่าสงสัย และเมื่อเตรียมการณ์ใช้กำลังพล โดรน และเฮลิคอปเตอร์ไปบุกวัดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย และไม่จบลงอย่างง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้ยึดกฎหมายแล้ว ดีเอสไอควรเอาตามกฎหมายเป็นที่ตั้ง อย่ากระทำการให้เกิดเจตนาคลางแคลงใจ เมื่อดีเอสไอปฏิบัติกับพุทธะอิสระอย่างไร ก็ควรปฏิบัติต่อพุทธะอิสระอย่างนั้น หากดำเนินการด้วยความแตกต่างกันแล้ว ย่อมเป็นหลักคิดที่เกิดปัญหาของดีเอสไอ แต่ควรดำเนินการด้วยใจสุจริต อย่าคิดหักหลังกัน อย่าลับล่วงพราง เรื่องจะจบลงแบบง่ายดาย ไม่มีต้องรับความเสียหายใหญ่หลวงในภายหลัง
ขอบคุณเเหล่งข่าว I see news
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น