วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559


ไม่นึกไม่ฝัน จะได้อยู่ในยุคสองเเผ่นดิน เนื่องจากตั้งเเต่เด็ก จนโต หรือจนเเก่ เชื่อว่าหลายๆคนคงจะจดจำ
เเละชินตา กับภาพ พระเจ้าอยู่หัว จนไม่นึกว่าจะมีวันนี้ที่่

                              "ไม่มีพระเจ้าอยู่หัว"


ภาพของประชาชน ไม่ว่า
คนไทย  ที่ร่วมถวายความไว้อาลัยอย่างเนืองเเน่น ทั่วประเทศขณะนี้ ทำให้ย้อนคิดถึงละครเรื่องหนึ่ง
ที่สร้างมากี่ครั้ง ก็ตราตรึงใจ มีความเป็นไทย ที่บรรยาย เเสดงเอกลักษณ์ออกมาได้อย่างงดงาม ทั้งที่เป็นตัวอักษร
หรือ การเคลื่อนไหวบนเเผ่นฟิล์ม ในจอภาพยนต์ หรือจอโทรทัศน์ ไม่ใช่
เเค่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตได้อย่างชัดเจน
เเต่ยังเล่าเหตุการณ์ของเเผ่นดินในยุคต่างๆ ได้ถึง 4 สมัย
นวนิยายเเละละคร"สี่แผ่นดิน"

ได้บรรยายายความรู้สึกของ "พลอย" ในเหตุการณ์สิ้นในหลวง ครั้งหนึ่งได้อย่างเข้าใจ อย่างเเจ่มเเจ้ง ว่า
คนไทยนั้นเเต่ไหนมา ล้วนผูกพันธ์ กับพระเจ้าอยู่หัว  อย่างเเนบเเน่น ความรักของคนไทย
กับพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ความรัก เเบบผู้ปกครอง กับ ผู้ถูกปกครอง เเต่
เป็นความรัก เเบบ พ่อ กับ ลูก
เมื่อวันหนึ่ง ไม่มีพระเจ้าอยู่หัว ความรู้สึกของคนทั้งประเทศ จึงเป็นดั่ง
ลูกที่พ่อจากไป
ลองอ่านท่อนหนึ่งของบทประพันธ์นี้ดู เเล้วจะเข้าใจ เเละอาจจะชื่นชม ความเเข็งเเกร่งของ เเม่พลอย
ที่ทนได้อย่างไร กับการเปลี่ยนเเปลง ถึงสี่เเผ่นดิน เพราะเราๆ เเค่ เเผ่นดินเดียวใจคนไทยเราตอนนี้
ก็เเทบจะสลายเเล้ว
"วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปทั่ว ไม่มีแสงแดด ทำให้ดูครึ้ม เยือกเย็น ลมเหนือที่เริ่มจะพัดในเดือนตุลาคมหยุดนิ่ง ในวันนั้นแม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่กระดิก เสียงนกเล็กๆ ที่เคยร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหายไป ธรรมชาติทั่วทั้งกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะแสดงความโศกสลดในความวิปโยคอันยิ่งใหญ่... 
...พลอยใจหายวาบต้องทรุดตัวลงนั่งที่กระไดตึก นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันทีว่า ยายเทียบมิได้พูดข่าวลือเหลวไหล แต่ใจนั้นยังไม่ยอมเชื่อ เพราะถ้าประชวรหนักหนาก็คงจะรู้เรื่องมาก่อน แต่พลอยได้ข่าวประชวรมาเพียงห้าหกวันเท่านั้น จริงอยู่คุณเปรมหายไปทั้งคืนคงจะต้องมีเหตุสำคัญในวัง แต่บางทีพระอาการประชวรจะหนักขึ้นเท่านั้นเอง เห็นจะไม่ใช่สวรรคต พลอยพยายามหลอกตัวเองว่า พระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จสวรรคต เพราะยังไม่สามารถจะเชื่อได้ว่าจะเสด็จสวรรคตได้อย่างไร" 



.........“ภายหลังจากที่คุณเปรมกลับมาเล่าว่า พระเจ้าอยู่หัวประชวรไม่เสด็จออก พลอยนึกแน่ใจว่าเป็นการ ประชวรตามปกติเพราะไม่มีใครพูดถึงอาการประชวรนี้เลย หลังจากได้ทราบข่าวประชวรราวๆ ห้าวัน 
รุ่งขึ้นวันหนึ่ง ยายเทียบกลับจากตลาดตอนสายเดินร้องไห้โฮๆ เข้ามาในบ้านบอกว่า เขาพูดกันในตลาดว่า ในหลวงสวรรคตเสียแล้ว วันนี้คนร้องไห้กันทั้งตลาดไม่มี ใครทำมาค้าขายกันเลย
แต่เรื่องพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตนั้น พลอยไม่เคยนึกถึงเลยและถึง แม้ว่าจะนึกถึงก็เห็นว่าตัวนั้นบาปกรรมอย่างหนักทีเดียว แต่ถ้ายายเทียบไม่เหลวไหลและข่าวนี้เป็นความจริงก็เท่ากับว่าหลัก หรือแกนของโลก มนุษย์ที่พลอยรู้จักนั้นสลายลง อีกครู่หนึ่งก็มีเสียงคนร้องไห้มาจากครัว และเสียงคนร้องไห้มาจากเรือนคุณนุ้ย... คุณเปรมก็ร้องไห้ คำตอบเท่านั้นพอแล้วสำหรับพลอย พลอยก้มลงกราบพระบรมรูป แล้วก็ซบหน้าลงกับตักคุณเปรม ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่น้อยกว่าเมื่อครั้งเจ้าคุณพ่อตาย แต่ในใจของพลอยนั้น รู้สึกว่าคราวนี้เป็นความสูญเสียที่มาก กว่าแรงกว่าและจะมีผลไกลกว่าเป็นหนักหนา
พลอยรีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์ อย่างน้อยที่สุดที่ตนจะทำได้ในวันนี้ ก็คือไปคอยเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพตามข้างถนนหนทางยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีจิตใจจะทำอะไรถูกตลอดทางที่พลอยผ่าน มีแต่ชาวบ้านแต่งกายไว้ทุกข์นุ่งดำ ทุกคนมีใบหน้าอันเศร้าหมองส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ บางคนก็เช็ดน้ำตา ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนพระบรมศพ
พระบรมโกศประดิษฐานอยู่บนพระยานมาศสามลำคาน กั้นกางด้วยพระมหาเศวตฉัตรแลดูสูงทะมึน มีเสียงร้องไห้ดังระงมด้วย
ความรู้สึกจากหัวใจ ทุกคนก้มลงกราบถวายบังคม พลอยนั่งใจเต้นระทึก พลอยก้มลงกราบถวายบังคมและเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหารคนหนึ่งที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นยืนถือปืนกลับปลายกระบอกลง ก้มหน้าไม่มีกระดิก แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ปะทุออกมาทั้งหมดก็คือ บนใบหน้าของทหารคนนั้นมีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลอาบแก้ม พลอยเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เพราะทหารคนนั้น พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย”


ความตอนหนึ่งจาก "สี่แผ่นดิน" - ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชาวไทยน้อมส่งเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
สู่สวรรคาลัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยถึง 70 ปี โดยทรงเป็นที่รักและเทิดทูนของปวงชนชาวไทย ซึ่งพร้อมใจกันถวายพระสมัญญานามให้ทรงเป็นมหาราช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับการศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อยังทรงพระเยาว์ และต่อมาทรงเข้าศึกษาในสาขาวิชานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระเชษฐา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 และมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โดยได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นผู้ฟื้นฟูสถานะและความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ ให้กลับมามีบทบาทนำในสังคมไทยอีกครั้ง
ผ่านการเสด็จออกเยี่ยมเยียนประชาชนแม้ในถิ่นทุรกันดาร และทรงงานพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรผู้ยากไร้ โดยมีพระราชดำริจัดทำโครงการหลวงกว่า 4,000 โครงการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและกองทัพ ทั้งยังทรงเป็นผู้วางแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นแนวคิดที่ต้านทานกระแสทุนนิยมยุคโลกาภิวัตน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นผู้คลี่คลายวิกฤตการณ์ทางการเมืองของไทยหลายครั้ง
ทั้งในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขวาและขบวนการนักศึกษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งทรงโปรดให้

พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และพลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลทหารเข้าเฝ้าและมีพระราชดำรัสต่อทั้งสองฝ่าย
ซึ่งนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของพลเอกสุจินดาในเวลาต่อมา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปิดรับคำวิจารณ์จากสาธารณชน โดยในพระราชดำรัสเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ได้มีพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้ แม้จะมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่ก็ตาม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557 จนในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เสด็จสวรรคต เมื่อเวลา 15.52 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชย์สมบัติได้ 70 ปี


cr. https://goo.gl/OjwEUS
...............

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เจ้าหน้าที่ DSI พัวพันคดีขายที่ดิน"ศุภชัย" 477 ล.ชิงลาออกแล้ว และถูกแจ้งหลายข้อหา


 กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นำที่ดินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 1,822 ไร่ ขายให้กับบริษัท พิษณุโลก เอทานอล จำกัด วงเงินกว่า 477 ล้านบาท โดยระบุว่า เป็นการขายเพื่อชดใช้คืนให้กับสหกรณ์ฯ แต่พบว่ามีการคืนเงินให้สหกรณ์ฯแค่ 100 ล้านบาท

ปปง. ระบุว่า กรณีนี้อาจมีผู้บริหารระดับสูงในดีเอสไอและ ปปง. เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้รับส่วนแบ่งในการขายที่ดินดังกล่าว
เจ้าหน้าที่จากดีเอสไอที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ ปรากฏชื่อของนายกิตติก้อง คณาจันทร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.ศูนย์ปราบปรามการฟอกเงินความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ
โดยปัจจุบันนายกิตติก้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกกรณีหนึ่ง คือ การสอบปากคำพยานโดยไม่มีอัยการเข้าร่วม ซึ่งคณะกรรมการฯได้สรุปผลสอบแล้วนั้น
ล่าสุด นายกิตติก้อง ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากดีเอสไอแล้วประมาณ 2 เดือนก่อนหน้านี้(สำนักข่าวอิศรา)
DSI ตรวจสอบแต่ประชาชน แต่คนของตัวเอง กลับปล่อยให้มีผลประโยชน์ เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีนี้ แบบนี้จะให้ไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่ ทำผิดเสียเอง 

ส่วนเรื่องนี้ !!

ใครจะรับผิดชอบ
แต่ที่ชัดมาก คือ ตายใน DSI

 

หมดสิ้นแล้วความยุติธรรม ..................
นี่หากนพ.เหรียญทอง(ผอ.รพ.มงกุฏวัฒนะ) ไม่ออกมาปกป้องทีมแพทย์ ก็คงไม่รู้ว่าจนท.DSI มีการรายงานข้อมูลเท็จ(โกหก) แล้วคดีอื่นๆที่ผ่านมา ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จะเป็นอย่างไร

เชื่อถือได้แค่ใหน? ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องแบบนี้ จะเกิดขึ้นในหน่วยงาน ที่มีความน่าเชื่อถือระดับประเทศสังกัดก.ยุติธรรม
เมื่อหน่วยงานของก.ยุติธรรมในวันนี้ เต็มไปด้วยจนท.ที่พร้อมจะโกหก หลอกลวง ไปวันๆ แบบนี้ ประชาชน คงจะหวังพึ่งใครและเชื่อใจใครในหน่วยงานนี้ไม่ได้แล้ว เพราะอาจถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา และกลายเป็นแพะได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่จนท.ชุดนี้ยังอยู่ เป็นไปได้ยาก ที่จะได้รับความยุติธรรม


เจ้าหน้าที่ DSI คดีขายที่ดิน"ศุภชัย"ชิงลาออก ส่วนเรื่อง"ธวัชชัย" ใครจะรับผิดชอบค่ะ??



จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget