วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561



ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริภาษผู้ทรงศีล

ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวัตถีมีชาวประมงได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง  มีสีเหมือนทองคำแต่ปากเหม็นมาก  จึงเอาไปถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้นำไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอปลาอ้าปากเท่านั้น กลิ่นเหม็นก็คลุ้งตลบทั้งเชตวันมหาวิหาร พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไม่ปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น  พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่อ กปิละ มีความรู้มาก ทะนงในความรู้ของตน เที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุที่ไม่เชื่อคำของตน น้องสาวกับแม่ก็ด่าว่าพระภิกษุตามพระกปิละ  เพราะคิดว่าท่านรู้มาก พระกปิละตายแล้วจึงไปเกิดในอเวจีมหานรก  ไหม้ในมหานรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลา ด้วยเศษแห่งวิบากเนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์ สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทองคำ แต่เพราะเป็นผู้ด่าบริภาษพระภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ

จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลาพูดได้ด้วยพุทธนุภาพ

พระศาสดาตรัสถามปลาว่า  "เจ้าชื่อกปิละหรือ?"

ปลาตอบ   "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ"

พระศาสดาถาม   "เจ้ามาจากไหน?"

ปลาตอบ   "เกิดในนรก พระเจ้าข้า"

พระศาสดา  "น้องสาวของเจ้า ไปไหน ?"

ปลาตอบ    " เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า"

พระศาสดา  "บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน ?"

ปลาตอบ   "จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม  พระเจ้าข้า"

ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ  เศร้าเสียใจมากจึงเอาศรีษะฟาดเรือตายในทันทีนั่นเอง  กลับไปเกิดในนรกแล้ว มหาชนเห็นเรื่องราวทั้งหมด ได้สลดใจมีขนลุกชูชันแล้ว

การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมหนักมาก พวกเราอย่าไปทำเด็ดขาด บางคนแค่ฟังเขาว่าต่อๆกันมาก็หลงเชื่อ ผสมโรงด่าว่าท่านด้วยความคึกคะนอง กรรมนี้น่ากลัวนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การสื่อสารออนไลน์ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง  ยิ่งต้องระมัดระวัง มีสติ ไม่ไปตามแห่ทำบาปกับใคร

การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพระภิกษุ ยิ่งผิดทั้งศีล ผิดทั้งธรรม จะหาเหตุผลมาอ้างว่าทำด้วยความความบริสุทธิ์ใจ เพราะคิดว่าท่านไม่ดี เหตุผลนี้เมื่อตายแล้วตกนรก  จะเอาไปใช้อ้างกับยมบาลเขาก็ไม่รับฟังเลย

แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ  เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เพราะเรายังรู้จักท่านไม่จริง แต่เอาเวลาไปประพฤติปฏิบัติธรรม กับพระภิกษุรูปใดก็ได้ที่เราถูกอัธยาศัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านดีกว่า ทำอย่างนี้เราจะไม่มีวิบากกรรม จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ทั้งภพนี้และภพหน้า

CR Chaleeya  Nuansri

การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก
 ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใหม่ๆ ในช่วงแรกมักจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับความคุ้นเคยเดิม แม้ในวงการพระ พุทธศาสนาก็เช่นกัน พระมหาเถระผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ต่างก็ประสบกับการวิพากษ์โจมตีอย่างหนักมาแล้ว เพราะคนเรา พอไม่เข้าใจก็ไม่ชอบ จึงหาเรื่องจับผิด ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี อาทิ
 พระเดชพระคุณหลวงปู่สด จนฺทสโร หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ผู้มุ่งสั่งสอนสมาธิ "วิชชาธรรมกาย" ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เคยถูกกล่าวหาว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก อวดอุตริ และกุข่าวว่าถูกเจ้าคุณโชดกฯ สอนให้กลับตัวกลับใจ ซึ่งไม่จริงทั้งสิ้น ท่านเคยกล่าวว่า "เราจะฆ่าตัวเองด้วยความปรารถนาลามกทำไม"

พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน ก็เคยถูกครหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนวิจารณ์ว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก ที่บอกว่าไปสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้
ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางขึ้นพระธาตุ ดอยสุเทพสำเร็จในเวลาเพียง 3 เดือนและบุกเบิกเผยแผ่ธรรมะอย่างกว้างขวางในแดนล้านนา ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสี จนถูกจับขังถึง 3 ครั้ง ปลดจากเจ้าอาวาส ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ

 

สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักในปัจจุบัน ส่งพระไทยไปเรียนกรรมฐานกับพระพม่า กลับมาบุกเบิกสร้างสายธรรมปฏิบัติยุบหนอพองหนอในไทย ก็เคยถูกข้อกล่าวหาจากสังฆนายกในยุคนั้นว่าปาราชิก และสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้สึก ถึงขนาดถูกจับสึกเปลื้องผ้าเหลืองออก ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่สันติบาล 4 ปี แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าท่านไม่ผิดจึงกลับมาครองผ้าเหลืองใหม่ ก่อนมรณภาพได้เป็นถึงผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช
                                    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ ก็เคยถูกกล่าวหาว่าปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าไปสวรรค์ ไปนิพพานได้
หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ้า
เพราะเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ถือใบลาน ซึ่งคนยุคนั้นไม่คุ้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระมหายาน พระนอกรีต เพราะชอบสอนเรื่องสุญญตา
อิงคำสอนของท่านนาคารชุน ชอบแนวคิดแบบเซ็น แต่ท่านก็สามารถดึงปัญญาชนจำนวนมากให้หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา


หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พูดจาหยาบ
คาย จับเงินจับทองผิดพระวินัย ระดมผ้าป่าช่วยชาติซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในวงการสงฆ์ทางลัด
แต่ท่านก็สามารถสร้างศรัทธาในหมู่ชาวพุทธได้มากมาย


 น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมหาเถระเหล่านี้ จะต้องแบกบาปมากเพียงใด ตอนกำลังด่าว่าท่าน ทุกกรณีจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละคนก็คิดว่าท่านไม่ดีไม่ใช่พระแล้ว ด่าแล้วไม่บาป ได้บุญด้วย ปลุกระดมกันและกันด้วยโทสวาท (hate speech) ให้เกิดความเกลียดชังอย่างมากๆเหมือนท่านไม่ใช่คน
แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยการอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่แต่ละรูปได้สร้างไว้นั้นต้องทำด้วยชีวิต ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจจะทำอย่างนั้นไม่ได้
น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น ,ครูบาศรีวิชัย, สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ) ฯลฯ คนเหล่านี้ต้องรับกรรมหนักเพียงใด
     ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริตนั้น มักอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องออกไปเอง สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่จะซัดซากศพขึ้นฝั่ง ในที่สุด ดังมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู่มากราย โดยเราไม่ต้องไปผสมโรงด่า ให้เสี่ยงต่อบาปกรรมเลย

วิบากกรรมที่เกิดจากการกล่าวว่าร้ายพระภิกษุผู้ทรงศีล จะมีผลเป็นอย่างไร
ติดตามได้ตอนต่อไป

เเหล่งข้อมูล http://palungjit.org

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2561


ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่ใช้งานโซเชี่ยลมีเดียยักษ์ใหญ่ชื่อดังอย่าง เฟซบุ๊ก หรอก เพราะมันทำให้เรื่องยุ่งยากในชีวิตเราง่ายไปเสียหมด อยากจะติดต่อพูดคุยกับเพื่อนก็ทำได้ในทันที หรือจะติดตามความเคลื่อนไหวของคนรู้จักก็ทำได้ไม่ยาก แม้แต่ซื้อขายของก็ยังทำกันบนเฟซบุ๊กเลย
แต่ทุกสิ่งในโลกก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน มีข้อดีอยู่ในตัว ก็ต้องมีข้อเสียแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ดังที่นักวิจัยท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เฟซบุ๊กแฝงไปด้วยปัญหาด้านจิตวิทยา และปัญหาเหล่านี้ก็มองเห็นได้ยาก และปัญหาเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กมีสุขภาพย่ำแย่ลง โดยตีเป็นปัญหาได้ 7 ข้อหลักๆ ดังนี้



1. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณไม่ดีเท่าคนอื่น นักจิตวิทยาด้านสังคม Leon Festinger ได้ทำการสังเกตผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนใหญ่ และพบว่าทุกคนมักจะทำการเปรียบเทียบชีวิตเพื่อนที่เห็นในเฟซบุ๊กกับชีวิตของตนเองอยู่เสมอและมักจะรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตไม่ดีเท่าเพื่อนคนอื่นๆ เพราะส่วนมากพวกเขาจะโพสต์ภาพที่ได้ไปกินอาหารหรูๆ ภาพได้ไปเที่ยวต่างประเทศ และภาพตอนเกิดเรื่องดีๆ กับชีวิต
2. ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องกันจากข้อหนึ่ง คือเฟซบุ๊กทำให้คุณรู้สึกอิจฉาเรื่องดีๆ ของเพื่อนนั่นเอง โดยนักวิจัยได้ค้นพบว่าการได้เห็นเรื่องดีๆ ของคนอื่นผ่านทางการเลื่อนดูนิวฟี๊ดทำให้คุณเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นและอาจจะทำให้คุณรู้สึกเศร้าหรือหดหู่ได้



3. เฟซบุ๊กทำให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนส่วนมาก นั่นเป็นเพราะเฟซบุ๊กมักจะนำเสนอเนื้อหาที่เราชอบติดตาม ซึ่งส่วนหนึ่งนับว่าเป็นความคิดเห็นและรสนิยมส่วนตัวของเราเอง และพอเราเห็นข้อมูลเหล่านี้บ่อยๆ แล้ว เราก็จะคิดว่าคนส่วนมากคิดเช่นนั้นเหมือนกัน
4. เฟซบุ๊กทำให้คุณรู้ความเป็นไปของคนที่คุณอยากลืม ซึ่งตัวอย่างที่ชัดที่สุดคงจะเป็นแฟนเก่านั่นแหละ เพราะเรามักจะเห็นภาพแฟนเก่าผ่านทางนิวฟี๊ด และแม้ว่าเราจะไม่ได้ติดตามเขาแล้วก็ตาม เราก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปส่องดูเฟซบุ๊กของเขาอยู่ดีนั่นแหละ ซึ่งมันทำให้คุณตัดขาดจากเขาได้ยากยิ่งขึ้น
5. เฟซบุ๊กอาจทำให้คุณเกิดความอิจฉาแฟนก็ได้ นักวิจัยชี้ว่าหากเราดูเฟซบุ๊กของแฟนบ่อยๆละก็ เราก็จะเห็นว่ามีใครติดตามหรือกดไลค์แฟนเราอยู่บ่อยๆ ซึ่งอาจทำเราอิจฉา หรือเกิดความไม่ไว้วางใจแฟนโดยใช่เหตุ และนำมาซึ่งปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเนื่องจากความไม่ไว้ใจกัน


6. เฟซบุ๊กทำให้นายจ้างรู้ข้อมูลที่เราไม่อยากเปิดเผย นักวิจัยกล่าวไว้ว่ามีผู้ใช้โซเชี่ยลมีเดียในการหางาน 89 เปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะเดียวกันนายจ้างก็ใช้งานโซเชี่ยลมีเดีย 37 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน
จึงไม่แปลกหากนายจ้างจะผ่านมาเห็นว่าชีวิตประจำวันที่คุณไปดื่มเหล้ากับเพื่อนแล้วเมาเละกลับบ้านไม่ไหว เห็นคุณไปเที่ยวกับสาวสักคนหนึ่ง หรือแม้แต่เรื่องที่คุณนินทานายจ้างบนเฟซบุ๊กของตัวเอง ซึ่งเรื่องพวกนี้คุณไม่อยากให้ใครรู้หรอกโดยเฉพาะนายจ้างที่จะจ้างเราทำงานน่ะ

7. เช่นเดียวกับกาแฟ บุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เฟซบุ๊กก็ทำให้คุณเกิดอาการเสพติดได้เช่นกัน เพราะว่าคุณจะอยากอัปเดตความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ และกระแสสังคมตลอดเวลา
ดังนั้นคุณก็เลยชอบเปิดเฟซบุ๊กเล่นบ่อยๆ นั่นเอง นักวิจัยได้ลองสุ่มถามผู้ใช้งานเฟซบุ๊กดู แล้วพบว่า พวกเขาอยากเล่นเฟซบุ๊กมากกว่าดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เสียอีก
      เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะวางมือจากการเลื่อนหน้าจออยู่กับอักษร F เกือบตลอดเวลา เหมือนเช่นทุกวันนี้

ที่มา  http://www.catdumb.com

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget