วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559


เมื่อ 2 ผู้ต้องหายื่นหนังสือต่อหน้า DSI
ความยุติธรรมที่พึ่งได้?????
รายชื่อผู้ต้องหา จำนวน 38 ราย
ลำดับที่ 30.นายไพบูลย์ นิติตะวัน

ข้อหา ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ
หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง

ในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ติดตามอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่
http://www.dsi.go.th/view.aspx?tid=t0000092
พระสุวิทย์ วัดอ้อน้อย

ในวันที่ 14 พฤษภาคม 57 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. รวม 43 คน ผู้ต้องหาคดีกบฏ และความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา

โดยมีชื่อของพระสุวิทย์รวมอยู่ด้วย
ติดตามอ่านข่าวเพิ่มได้ที่
http://www.thairath.co.th/content/401775
http://www.komchadluek.net/news/detail/178369
http://news.sanook.com/1429569/


"ภัททะกัง สุปินัง ปัสสะติ - ฝันดี
อาจมาจากเรื่องร้าย
แต่สะท้อนความจริงได้
ทำไมพุทธต้องฟัดพุทธ ?"

      เมื่อวานเพื่อนร่วมงานผมทำงานกันสนุก เพราะมีแขกมาเยือนทางเฟชบุค ผมเห็นตอนเช้า แต่เพื่อนบอกว่ามาตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนแล้ว เฟชบุคนี้มีเป้าหมายต้องการเล่นงานผมโดยตรง ...เพื่อนๆสรุปว่า ผู้จัดทำมีการวางแผนมาอย่างดี ...เตรียมให้เกิดความยืดเยื้อ หวังผลสร้างความเด่นให้ตนเองเเป็นหลักโดยมีสานุศิษย์บางคนคอยร่วมยุ ...สุดท้ายเพื่อนๆถามผมว่า มีเรื่องโกรธเคืองอะไรเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ?
     ผมมองชื่อ พยายามนึกถึงหน้า..บอกตรงๆว่าลืมความเกี่ยวข้องที่สนิทสนมกันไปนานแล้ว  ระยะหลังก็พูดคุยกันห่างๆ พบก็ยกมือไหว้ในฐานะพระสงฆ์ ท่านให้หนังสือก็อ่าน รู้ว่าท่านต้องการกำลังใจก็ให้ไป เพื่อจะได้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา...แต่ความสัมพันธ์ทึ่ใกล้ชิดลืมจริงๆว่าเคยมีหรือเปล่า ?
    ตกกลางคืน หลังจากไหว้พระสวดมนต์...ผมนั่งอ่านเฟชบุคจนง่วง จึงเข้านอน
ฟังเสียงฝนกระทบหลังคาแล้วก็หลับไป...ในที่สุดก็ฝัน...
   
    "ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่สถานที่แห่งหนึ่งแถวท่าพระจันทร์ มีพระหนุ่มรูปหนึ่งมาหาผม ท่าทางสงบเสงี่ยม แต่เชื่อมั่นตัวเองคุยกันได้ครู่หนึ่งก็ยื่นเอกสารให้ผม เป็นข้อเขียนของท่าน  ผมอ่านจนจบแล้วก็บอกว่าดี แต่มีข้อต้องแก้ไข บางที่เยิ่นเย้อ...
     พระหนุ่มแสดงสีหน้าไม่สู้ดีที่ผมวิจารณ์...ผมก็อธิบายต่อตามวิสัยของคนชอบสอนหนังสือ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้...คือ ทุกครั้งที่พบพระหนุ่มรูปดังกล่าว จะได้รับการมองด้วยสีหน้าแววตาที่ไม่เป็นมิตรเหมือนเมื่อก่อน ..ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคงมาจากการวิจารณ์ในวันนั้น...แต่ก็ไม่สนใจอะไร เพราะถือเจตนาดีเป็นที่ตั้ง จากนั้นก็ไม่ได้พบกัน
    ในความฝันยังเห็นอีกว่า"... ๑๐ ปีต่อมา พบกันอีกครั้ง..ได้ทราบว่าท่านพัฒนาตัวเองมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนตามที่ต่างๆ ก็มีคนชื่นชมพูดถึง ...คราวนี้พบและพูดคุยกันห่างๆ  ..เพราะต่างคนต่างมีภาระ...พบแต่ละครั้งคุยกันไม่ถึง ๕ นาที ท่านก็บอกว่าท่านเขียนหนีงสือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมก็อนุโมทนา  และบางทีท่านก็ให้มาอ่าน  ...ผมรับแล้วพลิกดูก็ให้กำลังใจ เพราะรู้ว่าท่านต้องการ"
     ผมยังฝันยาว."..ตอนหลัง...ท่านเขียนเรื่องภิกษุณี ท่านบอกผมด้วยความเชื่อมั่นว่าจะรวบรวมหลักฐานมาแสดง เป้าหมายก็เพื่อต้องการบอกสังคมว่า การที่ผู้หญิงบวชทุกวันนี้ไม่ถูกต้อง  ผมเองชื่นชม แต่ไม่ตื่นเต้นอะไร เพราะหลักฐานพระวินัยที่ท่านอ้างเพื่อให้เห็นว่าบวชเป็นภืกษุณีทุกวันนี้ทำไม่ได้ก็อ้างกันมาเยอะแล้ว...จนนักวิชาการฝ่ายสตรีนิยมตำหนิว่า พระชอบอ้างพระวินัยเฉพาะส่วนที่ท่านได้ประโยขน์ แต่ถ้าอ้างแล้วทำให้ท่านเสียประโยชน์ท่านก็ไม่อ้าง เช่น ห้ามรับเงิน...จึงได้แค่รับหนังสือไว้ แต่ไม่ได้เผยแพร่เพราะเห็นมีอยู่ดื่น และเห็นว่าการแค่ยกคัมภีร์มาอ้างเพื่อห้ามคงไม่พอ ใครก็ทำได้ ไม่อัศจรรย์อะไร แต่การหาทางออกให้น่าจะสำคัญกว่า เพราะเป็นการสงเคราะห์ผู้หญิงซึ่งก็เป็นภาระของพระศาสน่าด้วย จึงไม่ได้ให้ความสำคัญอันใดต่องานชิ้นนั้น แต่ก็ชื่นชมในความอุตสาหะ"
ผมสะดุ้งตื่นเข้าห้องน้ำแล้วมาหลับฝันต่อเรื่องเดิม
"...ตอนที่รณรงค์พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อาจจะเป็นผมกดติดต่อเข้าไปเพราะเห็นชื่อท่านขึ้นในเฟชบุคของผม ก็คนรู้จักกันก็เลยแอดเข้าไป...และได้คุยกีนถึงงานที่ทำ...ท่านสนใจ ท่านยินดีสนับสนุน เห็นบอกว่า ถ้ามีการตั้งคณะทำงานเพิ่มท่านพร้อมช่วยแถมบอกว่ามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง  ผมเสนอเรื่องของท่านต่อประธานฝ่ายพระ เห็นท่านประธานเฉยๆไม่สนใจถามต่อ ผมก็เลยหยุดไม่ได้ติดต่อกลับไปอีก.."
   ผมยังฝันต่อ
"...เมื่อตอนที่เขียนวิพากษ์พระมหาไพรวัลย์ ผมโดนถล่มหนัก  ก็มีไลน์ของพระรูปนี้มาถึงด้วยความห่วงใย ผมขอบคุณ ก่อนจากกันท่านบอกว่าท่านส่งกลอนมาให้ออกหน้าเฟชบุคผม ๑ บท เป็นกลอนตำหนิพระมหาไพรวัลย์กลายๆ แต่ผมก็ไม่ได้เอาลง  พระรูปนั้นก็อุตส่าห์ไปลงเฟชของท่านบอกแฟนคลับให้อ่านงานท่านได้ที่หน้าจอของผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ท่าน เพราะทำไม่เป็น และเพราะคิดว่า ไม่ยุติธรรมกับพระมหาไพรวัลย์ เมื่อผมว่าท่านก็ควรใช้วาทะของผมเอง  ไม่ควรดึงคนอื่นมาเป็นศัตรูกับท่าน  ก็เลยไม่ได้ลงให้ท่าน ...เหมือนไม่ให้ความสำคัญท่าน
    
จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก และผมก็ลืมท่านไปเลย เพราะมัวแต่ยุ่งกับงาน สมาพันธุ์"

    มานึกถึงท่านอีกทีก็ตอนที่เขียนเรื่องวัดพระธรรมกาย ในฐานะเป็นสถาบันพระพุทธศาสนาสถาบันหนึ่ง ที่กลุ่มของผมหากจะปล่อยให้เผชิญภัยตามลำพังก็ดูจะใจดำเกินไป ทั้งๆที่วัดพระธรรมกายก็ไม่ได้ให้อะไรเราเป็นการเฉพาะ แต่เรามองในภาพรวม วัดพระธรรมกายจึงเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมนั้น และฝ่ายที่จ้องเล่นงานวัดพระธรรมกายเขาก็มองในภาพรวม  หากล้มวัดพระธรรมกายได้ก็ล้มวัดอื่นๆได้ ในที่สุดก็ล้มคณะสงฆ์ได้  ...

    การล้มวัดพระธรรมกายมีแผนจากต่างศาสนามาหลายสิบปี ศาสนาไหนล่ะ ? ก็ลองไปดูซี่ศาสนาใดที่ซื้อที่ล้อมวัดพระธรรมกาย  ก็ศาสนานั่นแหละ ...เขาทำด้วยสามัคคีและกฏหมาย เรามีแต่ศรัทธาและความภูมิใจแบบหลงเงาอดีต แต่ไม่ตื่นรับรู้ความจริง
    หลายคนอาจคิดว่าก็ล้มไป จะเอาไว้ทำไม ในเมื่อคณะสงฆ์ก็บกพร่องมากมาย
พวกเราก็เห็นจุดนี้...แต่เรามั่นใจว่าเป็นภัยภายในที่แก้ได้ และไม่มั่นใจในโครงสร้างใหม่ที่จะมี ๓ เกลอ (พระ ๑ + ฆราวาส ๒) มาเป็นตัวกำหนด ... คณะเราจึงทักท้วง  และปลุกทุกฝ่ายให้ตื่น. แต่นึกไม่ถึงว่า ขาวพุทธตื่นแล้วมาไล่ฟัดกันเอง  ...ศาสนานั้น เขาชอบใจน่าดู
       ผมต้องขอบคุณสมาชิกสมาพันธ์ชาวพุทธที่ประกาศความกล้ามาช่วยกันชี้แจง
ทำให้ผมมั่นใจว่าเราไปได้แน่ 
แต่ละคนที่เห็นยามปกติคือ "แมวเชื่อง"
แต่เมื่อสถานการณ์เชิงรุกมาถึง ทุกคนก็คือ "ราชสีห์ " พร้อมสู้และสู้จริงๆ



    สู้ไม้สู้เปล่า ยังไล่ฟัด"หมูอ้วน ๒-๓ ตัว" กระจุยกระจายปิดเฟชบุคหนีกันจ้าละหวั่น  (หมูอ้วนบางตัวอุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม แต่พอคุยไปๆสันดานเก่าออก เลยจำได้ ราชสีห์เราก็จมูกไวไล่ขย้ำซะเลย แต่ก่อนสิ้นลายยังมีแรงด่ากลับนะว่าราชสีห์เราเป็นคนไม่มีศาสนา) มิหนำซ้ำ พระเจ้าของแผนการที่ผมฝันถึงพอเจอราชสีห์เขี้ยวตันเข้าไปก็ปิดเฟชบุคหนีเหมือนกัน 
    ราชสีห์ทุกตัวให้เหตุผลต่อกลุ่มตรงกันว่า
"เถื่อนต้องเจอเถื่อน มามัวสุภาพอย่าง อ.บรรจบไม่ได้หรอก"

ขอขอบคุณราชสีห์ทุกท่าน...วันหลังหากฝันใหม่จะใช้บริการอีกครั้ง 

ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=476415835889971&id=301226330075590
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยโท ดร. บรรจบ บรรณรุจิ อดีตอนุศาสนาจารย์ ประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก และกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา



นิยาย... พระกับมาร
...พอดีคิดถึงหนังสือกำลังภายใน...
จำได้หนังจะมีเทพกับมารคอยสู้รบกัน
มารจะเก่งขนาดใหญ่ ท้ายสุดก็แพ้เทพ...
...หรือถ้าจะแบ่งเป็น ธรรม กับ อธรรม หรือ ดี กับ ชั่ว ก็ได้นะครับ
...สถานการณ์ปัจจุบัน พระ ๒ รูป กำลังดัง และแบ่งฝ่ายกันชัดเจน ผมเลยขอสมมุติให้
องค์หนึ่งเป็นพระ  อีกองค์เป็นมาร
ท่านก็คิดเอาเองว่าองค์ไหนควรจะเป็นพระ องค์ไหนควรจะเป็นมาร
...สมมุตินะครับสมมุติ..
...พระ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มารไม่มีข้อมูลว่าจบอะไร
...พระบวชครั้งเดียวเมื่ออายุประมาณ ๒๕ สายมหานิกาย
...มารบวชหลายครั้ง เรียกว่าบวชๆสึกๆ
...พระหลังจากบวชแล้ว ก็สร้างอาณาจักรทางพุทธขึ้นมา จากเล็กๆ จนใหญ่โตแทบไม่น่าเชื่อ
จนทำให้พุทธจักร์ของเรา ขยายไปจนศาสนาอื่นงง
...มารตั้งแต่บวชมาก็อาศัยวัดอยู่ ไม่ได้สร้างอะไรที่มีคุณแก่ชาวพุทธเลย
...พระเอาคำสอนเป็นที่ตั้ง แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัว ทำให้ลูกศิษย์เกิดขึ้นแบบลูกโซ่
ขยายจาก ๑๐ เป็น ๑๐๐ เป็น๑,๐๐๐ ท้ายสุดไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐,๐๐๐ คน โดยมีทั้งฝรั่งผมขาวด้วย
...ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ดวงตาที่เห็นธรรม ทำให้สามารถรับบริจาคเงินได้เงินมหาศาล
สร้างถาวรวัตถุให้เป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่พุทธศาสนาได้
...มารเอาวิชาไหนไม่รู้มาใช้ มีรายได้แปลกๆ เห็นชัดเจน
ไม่รู้โรงแรมไหน ต้องถวายเงินแบบยืนนับออกทีวีกันเลยกันเลย
แถมเคยประกาศขายวัดด้วยละ...วัดขายได้ด้วยหรือ งง จัง
...พระไม่เคยมายุ่งทางการเมือง ศิษย์มีทั้งเหลือง แดง แต่ปัจจุบันเหลืองที่ไม่ได้เป็นศิษย์
เหตุใดจึงมาเกลียดพระ ทนายก็ไม่เข้าใจจริงๆ
...มาร..ยุ่งการเมืองไปทั่ว เช่น ปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ ฯ ขัดขวางการเลือกตั้ง เยอะเกินไปเลยขี้เกลียดจำ...
...พระเคยได้รับรางวัลจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่นรางวัลจากองค์กรยุวสงฆ์โลก wbsy
ในฐานะที่เผยแผ่พุทธศาสนาดีเด่นในระดับโลก และรางวัลอีกเยอะ จำไม่ไหวจริงๆ
...มาร..ได้รับหมายศาลจากตำรวจและดีเอสไอ หลายครั้ง ผลจากการกระทำผิดต่อกฏหมายบ้านเมือง
...ทุกวันนี้พระไม่เคยโต้ตอบอะไรกับทางราชการเลย
...มารทุกวันนี้ เที่ยวไปแจ้งความที่นั่นที่นี้..วุ่นวายปวดหัวไปทั่ว
...พระไม่เคยเอาของสกปรกไปถวายพระผู้ใหญ่
...มาร..ใครจำได้ไหมว่าเอาอะไรไปถวายพระผู้ใหญ่..

เอาเป็นว่านิยายจบแค่นี้ก็แล้วกัน ยาวไปเดียวไม่อ่าน


ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล
พฤหัสบดี ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559



กรณีที่สื่อออกข่าว การที่คนที่มีชื่อเสียง ระดับพระผู้ใหญ่คนหนึ่งในสังคม
รวมทั้งองค์กรรักษาความยุติธรรมที่ขึ้นชือลือชาในการทำคดีดังๆมาหลายครั้ง
ได้ออกสื่อ เเทบวันเว้นวัน จุดประเด็นร้อนฮอตฮิตยิ่งกว่าละครหลังข่าว
ที่สังเกต ตัวละครออกหน้าออกตา มีไม่กี่คน
ได้รับเชิญไปออกรายการต่างๆ หลายสถานี

พูด เล่าเหตุการณ์ ทั้งข้อเท็จจริง หรือเมามันส์ไปตามอารมณ์ลูกล่อลูกชนของพิธีกร
จนธุรกิจสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลที่ซบเซา กลับมาคึกคัก
ไหนจะสื่อ สิ่งพิมพ์ ที่ออกข่าวเรียกเเขก
เพิ่มยอดการขายที่ขุดคุ้ยไม่เว้นเเต่ละวัน
ตีเรื่องไหน ก็ขอให้ตี เพื่อจะได้มีพื้นที่เรียกเเขก ขายข่าวบนเเผงได้
จนวันนี้ คนส่วนใหญ่ในสังคมเริ่มรับรู้เเล้วว่า
สื่อไหนที่มีจรรยาบรรณความเป็นสื่อมืออาชีพ
เเละสื่อไหน ...ที่เขียนข่าวยังไง ก็คงหากินได้เเค่ไม่กี่เดือนนี้
หลังเมามันส์ ในการยำ คู่ต่อสู้ที่ใช้หลักอหิงสา มานานจนเพลิน เกินขอบเขต
ไปหลายครั้ง
เมื่อวันที่คู่ต่อสู้เริ่มตั้งหลัก หลังจากอยู่ในภาวะ น้ำท่วมปาก
รู้เต็มอก เเต่พูดไม่ออก พูดไม่ทัน
เเต่ไม่ใช่ ไม่พูด
วันหนึ่งเมื่อข้อมูลพร้อม คนพร้อม ข้อมูลเท็จจริงต่างๆถูกออกมาชี้เเจง
เปิดเผย
จะงัดมาไม้ไหน จะถามอย่างไร  ตอบได้ตอบ
ตอบไม่ได้ ขอกลับไปหาข้อมูลเพิ่ม ที่ชัวร์ ชัด พร้อมหลักฐาน เเล้วกลับมา
เเถลงข่าวใหม่  ยินดีต้อนรับสื่อทุกช่อง สื่อทุกสำนัก สื่ออิสระทุกคน  เเม้กระทั่งเพื่อนสื่อเข้าร่วมรับฟังการเเถลงข่าว
มั่นใจทุกคำตอบ เพราะมีความกตัญญูต่อครู อาจารย์ที่อบรม สั่งสอนศีลธรรม
จนได้ดิบ ได้ดีมาจนทุกวันนี้
ไม่มีคำว่าร้าย พาดพิง ด่าว่า เหน็บเเหนม
มีเเต่ฝากให้ช่วยคิด
ฝากให้กลับไปทบทวน
หนึ่งเดียวที่มา
พร้อมปมหลังว่าเด็กวัดคลองสาม บ้านอยู่คลองหนึ่ง
เข้าวัดตั้งเเต่อยู่มัธยมต้น  โรงเรียนใกล้บ้านจนจบการศึกษาปริญญาในเมืองไทย
เเต่หัวใจ เเละคำพูด คำจา บ่งบอกภาษาสูงกว่าคนจบเมืองนอกบางคน
ที่ทุกวันนี้ยังมายืนด่าว่าอาจารย์ ที่ส่งเสียตัวเองเรียน
ทำให้สังคม บัญญัติชื่อ คนอกตัญญู เป็นโลโก้ประจำตัวศิษย์อกตัญญูทั่วประเทศ
ทุกรายการที่รับเชิญ ไปตามคำเชิญ
ให้ไปดีเบตกับใคร ไม่มีอะไรต้องกลัว
ในเมื่อข้อมูลจริงมีในมือ โตมากับวัด เห็นมากับตา พูดจาได้เต็มปาก
เเละในเมื่อสื่อยังคงชอบ ลงข่าวบอกไม่เต็ม จบไม่หมด เขียนออกข้างทาง
ตัดต่อเเต่ประโยคที่ตัวเองชอบ
เพื่อให้ได้ขายข่าว
จะเเปลกอะไรที่ สถานีของวัด จะกลายเป็นเวที ช่องเเถลงข่าวอย่างเต็มๆเน้นๆ
ให้คนวัด เเละไม่ใช่คนวัดได้จัดเต็ม
เเละวันนี้ เมื่อกฎหมู่รุมกัด จิก เริ่มใช้ไม่ได้ผล
เราก็ได้เห็นภาพ
เด็กเกเรร้องไห้ วิ่งไปฟ้องครู
จะทั้งพระ ทั้งโยม ไปในวันเวลา เดียวกันด้วยสิ
จนผู้ใหญ่บางคนในสังคมยังอดออกมาพูดตักเตือนพวกรุมระบบหมู่ให้เกรงใจเด็กมันมั๊ง

เถียงสู้ไม่ได้ ไปฟ้องศาล
เขาเรียก ผู้ใหญ่เเพ้ชวนตี หรือเปล่า??????
อายเขาไหมนั่น.....



cr  หทัยชนก






เราเห็นพระ  เห็นหลวงพ่อ
เห็นเป็นเนื้อนาบุญ
พี่คนดีเห็นเป็นสมี
เราเห็นวัดใหญ่โต ...
เป็นการเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนา พี่คนดีเห็นเป็นบริษัท

เราเห็นที่ปฏิบัติธรรมภายนอก
เพื่อให้คนเปลี่ยนบรรยากาศธรรมชาติๆ
เรียกว่า เวิลพีซวัลเล่ย์ปฏิบัติธรรม"
พี่คนดีเห็นเป็นโรงแรมรีสอร์ท
เราเห็นสื่อมวลชนที่ดี น่ารัก เลยเขียนรวมๆ พี่คนดีเอาแต่สื่อไร้จรรยาบรรณที่ไม่เข้าใจ
เราเห็นเจดีย์ ที่มีพระพุทธรูปนับล้าน
และเป็นรูปทรงดั้งเดิมจากพุทธกาล

พี่คนดีเห็นเป็นจานบิน
เราเห็นอาคารทรงกลมเป็นดวงธรรม ทำให้นึกถึงธรรมะภายใน
พี่เขาเห็นเป็นสตาร์วอร์
เราเห็นเทวรถจำลองเพื่ออัญเชิญหลวงปู่ทองคำ
เขาเห็นเป็นยานกลีบบัว
เราเห็นนกยูงขนาดใหญ่ที่ใช้อัญเชิญร่างของคุณยายอาจารย์
เพื่อทำพิธีสลายร่างด้วยความกตัญญู

พี่เขาเห็นเป็นยานนกยูง
จะบอกให้เลยก็ได้ครับ

เราไม่ได้อยู่ดาวเดียวกันหรอกครับ
หลังละโลก ตายกันไป
ผมมั่นใจว่า เราอยู่คนละที่แน่นอน
คนมันคุ้นยังไง มันก็ไปยังงั้นแหละ

“หากมองผ่านแว่นแห่งอคติของใจ
สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นตัวเราเอง”

น้องแสนดี
................
66 เหมือนต่างโลก
เพราะเราเห็น คนละอย่าง เหมือนต่างโลก
เราจึงต้อง วิโยค เศร้าโศกศัลย์
เรามองเห็น เกณฑ์ความดี ที่ต่างกัน
เราเชื่อมั่น ในความคิด จริตตน

ยิ่งเราคิด ว่าเรานี้ มีพวกมาก
เราจะถูก พวกลาก ให้สับสน
เราจะเกิด อุปาทาน พานหลงกล
กระแสแห่ง มวลชน ที่ชี้นำ

มีศรัทธา แล้วจงเกิด ปัญญาคิด
อย่าหลงเดิน ทางผิด ติดถลำ
เรื่องมดเท็จ กลับเห็น ว่าเป็นธรรม
จะชอกช้ำ ตรอมตรม เพราะงมงาย

น้องแสนดีขอบคุณกลอนของพี่คนดีนะครับ
P.khondee ( พี่คนดี กวีสมัครเล่น)

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สุวิทย์ อิสระ วัดอ้อน้อย และนายไพบูลย์ นิติตะวัน
ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการกดดันให้ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนีนั้น
เป็นผู้ต้องหาในคดีกบฏ จากการ shut down กรุงเทพฯ ดีเอสไอได้ส่งฟ้องแล้ว
อัยการก็ได้พิจารณาสั่งฟ้องแล้ว ขั้นตอนล่วงเลยจนจะเป็นจำเลยขึ้นศาลแล้ว
แต่ทั้ง 2 คนได้ ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด สั่งให้สอบเพิ่มเติม

คดีนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 2 ปีแล้ว  ทำไมข่าวจึงเงียบสนิท!!!!

ทั้งที่เป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงถึงขนาดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน
ยึดสถานที่ราชการนานหลายเดือน
ปิดเมืองหลวงของประเทศ สร้างความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน
และความสามัคคีของคนในชาติอย่างใหญ่หลวง
ดีเอสไอได้ออกหมายเรียก หมายจับ หมายค้นนำตัวทั้งคู่มาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อส่งให้อัยการ

สั่งคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็วหรือไม่
คำถามนี้ให้ใครตอบดี?????

ชี้เเจงทุกประเด็นกับที่ดินเขาใหญ่World Peace Valley   ที่วัดพระธรรมกายเปิดใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ระยะสั้น 3 วัน เเละระยะยาว 7 วัน
อีกทั้งยังมีโปรเเกรมใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม เเละสัมนาโครงการต่างๆของวัด เเละหน่วยงานราชการที่ร้องขอ อีกตลอดทั้งปี ดำเนินการมาเเล้วหลายปี เปิดใช้ตั้งเเต่ยังสร้างไม่เสร็จ
จากปริมาณ เเละขนาดพื้นที่ที่ไม่พ้นคำว่า "ใหญ่โตอลังการ"
ที่ในช่วงนี้ วัดพระธรรมกายกำลังถูกตีประเด็นร้อนเรื่องนี้อยู่
ทั้งที่สถานที่หลัก คือตัววัดพระธรรมกายเอง ที่ตั้งอยู่ใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
เเละกระจายไปยังศูนย์สาขา ทั้งใน เเละต่างประเทศ ถูกเผยภาพทั้งอาคาร สถานที่ อย่างเจาะละเอียดเเละไม่พ้น
คำว่า อลังการงานสร้าง


โดยผู้เสพข่าว จากสื่อต่างๆ หากยังมาไม่ได้ ไปไม่ถึง ก็คงเชื่อตามนั้น
เเต่ผู้ที่มีหัวคิดนักบริหารจะรู้ทันทีว่า
หากจัดงานสักครั้งหนึ่ง ลงทุนไปจำนวนเท่าไหร่ มีคน หรือลูกค้ามาร่วมงานยิ่งมากเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายต่อหัวจริงๆก็จะลดลงเท่านั้น เเละนั่นหมายถึงผลกำไรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ชึ่งการที่คนจะมาเยอะ ก็เเสดงว่าสินค้า หรือ สิ่งจูงใจนั้นดีเยี่ยม
วันนี้เมื่อเปลี่ยนจากหลักการบริหารธุรกิจที่ไม่มี "สินค้า"เป็นเเหล่งจูงใจ
เเต่มีการก่อตั้ง วัดที่ระดับปัญญาชน มาบริหาร เเละปกครอง
ตั้งเเต่ระดับลูกวัด หรือเด็กวัด ตลอดจนพระทั่วไป พระบริหาร จนถึงเจ้าอาวาส ล้วนมีการศึกษาอย่างต่ำระดับปริญญาตรี ไปจนถึงปริญญาเอก
อีกทั้งภาคบังคับของวัดเอง ที่บุคลลากรคนใดมีความสามารถถึงก็จะได้รับการส่งเสริมทางธรรม
ให้เรียนขั้นต่ำตั้งเเต่ธรรมศึกษา ไปจนถึง เปรียญธรรม 9 ประโยค
โดยไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมที่เป็นหัวใจสำคัญของการมาตั้งวัด
เเละสละชีวิตมาอุทิศทำงานเพื่อพระศาสนา
ก็จะมองภาพวัดพระธรรมกายบนหลักพื้นฐานของความเป็นจริงว่า
สมควรเเล้วที่วัดนี้ จะมาได้ไกลถึงจุดนี้
ไม่ใช่ตั้งคำถามว่า
"เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง"


เเละคนที่เคยมาสักครั้งในชีวิต ได้คิดเหมือนปัญญาชน
ก็สามารถลองคิดคำนวนค่าใช้จ่ายต่อหัว จำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการเเต่ละครั้ง ไม่ใช่หลักสิบ เเต่อย่างต่ำหลักร้อย จนถึงพัน หรือหลักหมื่น จนถึงเเสน เเล้วจะเห็นว่าถูกเเสนถูก
คุ้มเเสนคุ้ม สำหรับการใช้สถานที่เเต่ละที่ ไม่ว่าในหรือนอกประเทศ
เหมือนงาน" ล้มวัวทั้งตัว กินได้ทั้งหมู่บ้าน"
เเละล่าสุดก็ได้เห็นสื่อพยายามขุดคุ้ย ตีเเผ่เรื่องที่ดิน ที่เขาใหญ่เเบบ เขียนข่าวเพื่อจุดประเด็นสังคม
ทางวัดเองก็ออกมาชี้เเจง มีทั้งหลักฐานเเละเอกสาร ข้อเท็จจริงก็มาเเสดง
ได้เห็นสื่อออกข่าวต่อ เเต่ก็เป็นการเขียนข่าวเเบบไม่จบ คือเขาอธิบายมาอย่าง
ไปเขียนอีกอย่าง เเบบอยากสร้างกระเเสขายข่าวต่อ
เรื่องของวัดพระธรรมกาย จะจบอย่างไร
หรือจะถูกขุดเรื่องอะไรรายวันต่อไป
ไม่ทราบ!!!!!
เเต่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า เมืองไทยต้องยังมีที่ให้คนดียืน
จึงขอเป็นกระบอกเสียงในการช่วยเเถลงข่าว ลงข่าว ชี้เเจงข้อมูลตามจริงที่ได้รู้ได้เห็นมา
อย่างตอนนี้ที่อีกฝ่ายพยายามจะหาข้อผิดเรื่องการครอบครองที่ดิน แต่ไม่พบ ตอนนี้เลยพยามหาข้อผิดในเรื่องการขออนุญาตก่อสร้าง ซึ่งทางวัดขออนุญาตตามขั้นตอนกับอบต.หมูสี จ.นครราชสีมาอย่างถูกต้อง
มีข้อมูลที่นำมาให้ศึกษาในเบื้องต้น
คำว่า "รุกที่เขาใหญ่" เป็นการเลี่ยงคำว่า "รุกที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่"
เพื่อหลอกคนอ่านให้เข้าใจว่าวัดบุกรุกที่อุทยาน 
จริงๆแล้ว โซน ต.หมูสี(บ้านไร่ริมน้ำ) ต.โป่งตาลอง ก็เรียกว่า เขาใหญ่ทั้งนั้น

 เพราะในทางการตลาด รีสอร์ทและโรงแรมแถวนั้นจะอ้างอิงเขาใหญ่ทั้งสิ้น เพื่อดึงดูดลูกค้า
1.พื้นที่ของ World Peace Valley    อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเอง เป็นเอกสารสิทธิ์ประเภท นส.3.ก สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ตามกฏหมาย อ้างอิงได้จาก แผนที่แนบท้ายกฤษฎีกา ถ้าคนโพสมีหลักฐานการทำผิดให้เอามาแสดงและแจ้งความได้เลย แต่ถ้ากล่าวหาลอยๆ เตรียมรับหมายศาล คดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทได้เลย 


 2.ถ้า World Peace Valley    ผิด ทอสคาน่า และ คีรีมายา รวมทั้ง โรงแรมและรีสอร์ทบริเวณ ต.หมูสี และ ต.โป่งตาลอง ก็ต้องผิดทั้งหมด 

3.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบแล้ว โดยเฉพาะ สปก.โคราช ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ใช่พื้นที่ สปก. 
4.รูปแบบอาคาร มีการขออนุญาตก่อสร้างจากทาง อบต.โป่งตาลอง อย่างถูกต้องตามขั้นตอน กฏหมายควบคุมอาคาร ที่ต้องทำเป็นตึกเนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ก็ชี้เเจงตามข้อมูลเเละหลักฐานตามความเป็นจริง
เเละก็เชื่อเเน่ว่า วันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง
คงมีเรื่องใหม่มาให้คุยอีก
เเต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี สังคมจะได้รับทราบว่า ใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร
ทั้งที่สาเหตุเริ่มต้นดังของวัด
เเค่คดีรับบริจาคของโจร
ที่ทั้งเจ้าทุกข์เเละผู้ต้องคดีตัวจริง ก็ยืนยันว่าวัดเป็นเเค่ทางผ่านเงินบริจาค ไม่ติดใจเอาความใดๆ
เเล้วไหง วันนี้ลากยาวเอาเรื่องกันตั้งเเต่ป่วยจริง ไม่จริงของเจ้าอาวาส
จนถึงขุดคุ้ยเรื่องสิ่งก่อสร้าง ที่ดิน ปนเปเเบบจะเอาผิดให้ได้สักเรื่อง
สื่อ หรือสังคมกำลังสับสนอะไรหรือเปล่า?????

cr:หทัยชนก

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สิงหาคมนี้
จะมีปรากฎการณ์สำคัญ
ถ้ายังทำร้ายธรรมกายไม่เลิกรา


ใครนะช่างใจอำมหิต
มุ่งทำร้ายและทำลายวัดธรรมกายให้ดับสูญ
ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หวังบดขยี้เล่นงานวัดธรรมกายให้ป่นปี้เป็นผุยผง
คงเป็นคำสั่งของผู้มีตำแหน่งใหญ่โต
ข้าทาสบริวารจึงตอบสนองคำสั่งกันจ้าระหวั่น

ทั้งตำรวจทหาร ทั้งหน่วยงานอิสระต่างร่วมมือถล่มธรรมกายอย่างเมามันโดยพร้อมเพียงกัน
ทั้งๆ ที่ผิดขั้นตอน
ทั้งๆ ที่ "พระธัมมชโย" ยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา
ทั้งๆ ที่อัยการยังไม่ได้ส่งฟ้อง
ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาให้เป็นผู้ผิด แต่ DSI กลับออกหมายจับ

วันที่ 16 มิถุนายน 2016
เจ้าหน้าที่ DSI มีคำสั่งให้ตรวจค้นวัดพระธรรมกาย
และให้บุกจับลากตัว "พระธัมมชโย" เจ้าอาวาสออกจากวัด
ทหารและตำรวจในเครื่องแบบหลายพันนาย
พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่อาจคาดเดาจำนวนได้ว่ามีเท่าใด
สนธิกำลังบุกวัดพระธรรมกาย หมายลากตัวพระภิกษุอายุ 72 ซึ่งกำลังอาพาธ ออกมาเปลื้องจีวรประจานในที่สาธารณะตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ
การบุกค้นในวันนั้น
ทำต่อหน้านักข่าวทั้งไทยและเทศนับร้อย
ทำต่อหน้าศิษย์ธรรมกายนับหมื่นและทำต่อหน้าผู้ติดตามข่าว
ในสังคมออนไลน์จากทั่วโลกจำนวนนับล้านอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้ออกคำสั่ง
คงมีอำนาจยิ่งใหญ่จนไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน คงมีความเกลียดชังและอิจฉาอย่างแรงกล้าที่ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทาน
คงมีความแค้นเคืองอย่างไร้เหตุผลที่ไม่มีผู้ใดกล้าท้วงติง ที่ต้องลาก "พระธัมมชโย" ออกจากวัด มาเปลื้องจีวรประจานในที่สาธารณะให้ได้ หาไม่แล้ว "พระธัมมชโย" จะมีบารมีมากเกินไป หาไม่แล้ว "ธัมมชโย" จะมีผู้คนกราบไหว้มากเกินไป มันทำร้าย "อัตตา" กันเกินกว่าที่จะให้อภัยได้

การบุกค้นในวันนั้น ต้องเลิกราไป ทหารและตำรวจเข้าไปค้นในวัดธรรมกายไม่ได้  ไม่สามารถลากตัว "พระธัมมชโย" ออกมาเปลื้องจีวรกลางที่สาธารณะได้ เนื่องจากไม่อาจเดินฝ่าฝูงชนนับหมื่น
   แต่ความพยายามของผู้มุ่งร้ายยังไม่เลิก การขอหมายจับ การขอหมายค้นยังคงดำเนินอยู่ เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น


ที่นั่งตากฝนสวดมนต์อยู่บนเส้นทางและลานวัด เป็นที่รับทราบว่า
ธรรมกายเป็นวัดใหญ่และมีสาขาอยู่ทั่วโลก เฉพาะวัดธรรมกายที่ปทุมธานีแห่งเดียว มีพระภิกษุจำพรรษานับหมื่นรูป
มีอุบาสกอุบาสิกาเข้าวัดสวดมนต์ ทำกิจกรรมบุญวันละนับหมื่นคนทุกวัน
ประเมินจำนวนอย่างถ่อมตัว วัดธรรมกายน่าจะมีลูกศิษย์ 5-6 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ
ศิษย์วัดธรรมกายมาจากทุกสาขาวิชา และมาจากทุกสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารระดับบิ๊ก ตำรวจระดับนายพล   ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เศรษฐีหมื่นล้านและนักการเมืองชื่อดัง สานุศิษย์ของวัดธรรมกายจำนวนไม่น้อยเป็นบุคคลระดับหัวกะทิของประเทศ และจำนวนไม่น้อยร่ำรวยระดับต้นๆ ของประเทศ ว่ากันว่าถ้าศิษย์ผู้มีอันจะกินเพียง 20-30 รายเอาความร่ำรวยมาเทกองรวมกัน จะเป็นเงินนับแสนล้านบาท

ธรรมกายใช้ธรรมะปกป้องตัวเองตลอดมา ใช้ความอดทนอดกลั้นก้าวข้ามอุปสรรคเสมอมา
ใช้ความรู้และความศรัทธาเผยแพร่พุทธศาสนาสู่นานาประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์และการบริหารจัดการระดับมืออาชีพ วัดธรรมกายจึงเจริญรุดหน้า มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ถึงกระนั้น ภัยก็มาถึงตัวทั้งๆ ที่ทำแต่ความดี
ถ้าธรรมกายใช้กำลังตอบโต้ที่ถูกกลั่นแกล้ง เลือดคงนองแผ่นดินถ้าธรรมกายใช้อำนาจเงินเป็นเครื่องมือ คงซื้อประเทศไทยได้ครึ่งค่อนประเทศ แต่ธรรมกายไม่เคยทำเช่นนั้น นอกจากความดีและวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ถ้ายังทำร้ายธรรมกายไม่เลิกรา คาดว่าศิษย์ของธรรมกายหลายล้านคน
จะออกไป Vote No ในการลงประชามติวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งอาจถือเป็น"บทเรียนแรก"
ที่ธรรมกายส่งสัญญาณให้ผู้ปองร้ายตน
ทราบว่ามันคือการลุกขึ้นสู้ แม้เป็นการสู้อย่างสันติอหิงสา
แต่มันจะส่งผลสะเทือนเลือนลั่นต่อผู้ปกครองและการปกครองที่ไม่ชอบธรรม
การกำจัดธรรมกายคงไม่ง่ายเหมือนการสังหารประชาชนมือเปล่า
เพราะการกำจัดธรรมกายก็คือการกำจัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย
ภิกษุสามเณรจำนวนกว่า 256,000 รูปของมหานิกายคงไม่นิ่งดูดายให้เกิดขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ยังไม่นับรวมพุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นพลเมืองกว่า 90 เปอร์เซนต์ของประเทศ
 
ถ้าผู้ปองร้ายธรรมกายยังไม่เลิกรา ยังไม่กลัว "เพลิงแห่งธรรมะ" จะลุกไหม้เผาผลาญให้รุ่มร้อนราวกับหมกไหม้อยู่ในไฟนรกแล้วไซร้ จงได้โปรดทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด พวกเราจะรอคอยด้วยความอดทนเพื่อเฝ้าดูจุดจบในบั้นปลายชีวิตของท่านว่าจะเป็นเช่นไร



วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

 เมื่อปีพ.ศ.2536 มีข่าวครึกโครมพระยันตระ อมโรพระหนุ่มรูปงามแห่งเกริงกระเวีย
มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกาสาว นางจันทิมา มายะรังสี
สื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์แย่งกันนำเสนอข่าวหลากรูปแบบเพื่อกระตุ้นยอดขาย
โดยไม่สนใจข้อมูลเท็จจริงแต่อย่างใด
พฤติกรรมสามานย์สารพัดถูกนำมาใช้ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้ดูชั่ว
ถึงขนาดส่งคนไปเผากุฏิไม้ที่ท่านอาศัยปฏิบัติธรรมบนยอดเขา เพื่อสร้างข่าวเอามาขาย
แม้พระพุทธรูปทองเหลืองยังต้องหลอมละลายเพราะความร้อน
รุ่งเช้าก็มีข่าวพาดหัวตัวไม้ใหญ่ยักษ์

       
"ฟ้าพิโรธ ลงโทษยันตระ"

สื่อแบกะดินที่แทบไม่ใครรู้จักและอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลาย รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาทันที
เพราะจับทางคนได้ว่า


"นิยมเสพข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี"


แต่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐ สมเป็นสื่ออันดับหนึ่งของเมืองไทย คือยึดหลักขายความจริงมากกว่ามุ่งยอดขายข่าวเท็จที่หวือหวา ได้ส่งนักข่าวเกรดเอเงินเดือนสูงไปบวชเป็นพระเพื่อสืบค้นความจริง
ก่อนพระนักข่าวรูปนั้นจะลาสิกขา ได้กล่าวสารภาพความจริงต่อหน้าพระสงฆ์และญาติธรรมว่า

"ผมเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถูกส่งมาบวชเพื่อมาเจาะหาความจริง
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ได้ร่วมปฏิบัติธรรมกับหมู่คณะ ผมประจักษ์ชัดทั้งด้วยตัวเองและข้อมูล
ขอสารภาพเปิดใจ ณ ที่ตรงนี้ต่อหน้าทุกท่านว่า.....
...ผมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระอาจารย์ยันตระ อมโรครับ"

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก นางจันทิมา มายะรังสีก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง
แต่อนิจจจาสื่อไทยที่จรรยาบรรณตายไปแล้ว
ไม่มีสื่อใดลงข่าวคำสารภาพของนางจันทิมา มายะรังสีก่อนเสียชีวิตเลย
นอกจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และลงเพียงกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น

'' ก่อนตายดิฉันขอสารภาพความจริง
เพื่อไถ่บาปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ยันตระไม่มีมูลความจริง
แต่เพราะความโกรธแค้นที่ถูกลูกศิษย์ขัดขวางไม่ให้เข้าใกล้พระอาจารย์
กอปรกับดิฉันอยู่ในภาวะร้อนเงินด้วย เมื่อมีคนว่าจ้างรับปากจะช่วยเหลือ
และสัญญาจะส่งเสียลูกสาวเล่าเรียนดิฉันจึงต้องทำงานนี้ให้กับเขา''

วัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน
ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคต
จะถูกสร้างข่าวร้ายจากสื่อที่ขายข่าวและพวกที่ต้องการทำลายศาสนา
จนกว่าจะไม่มีวัดพระธรรมกายอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป......

Cr: มิลา บายันต์
***ขบวนการทำร้ายพระพุทธศาสนามีอยู่จริง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน...ทำอย่างไรคนไทยจะรู้ตัวกันเสียที


"การต่อสู้ของศิษย์วัดพระธรรมกาย :
สะท้อนพลังศรัทธามาเป็นกำแพงแก้ว
คุ้มกันสถาบันพระพุทธศาสนา
: นี่คือสัญญาณบอก 'เราทิ้งกันไม่ได้' "




ผมไม่ได้ "อิน" กับวัดพระธรรมกายไปเสียทุกเรื่อง มีหลายเรื่องที่ผ่านมาก็เคยวิจารณ์ แต่เป็นการติเพื่อก่อเสียมากกว่า ไม่ใช่เพื่อทำลายกัน เพราะผมรู้ดีว่าพลังศรัทธาที่ก่อตัวมาถึงขนาดนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆเหมือนลอยมาจากอากาศ ทว่ามาจากการเสียสละและความตั้งใจดีในการทำงานของทุกฝ่ายในวัด

     ผมกับเพื่อนร่วมงานที่จับตาดูเหตุการณ์นี้ต่างกังวลใจมาก เพราะมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะทำให้สถาบันพระพุทธศาสนาหมดความสง่างาม
และคิดอยู่เสมอว่า หากทางการใช้กำลังเข้ามา แล้วพลังศรัทธาของสาธุชนวัดพระธรรมกายจะทานกำลังนั้นได้ไหม ?

   ทำไม เราจะต้องวิตกขนาดนั่น ?
     คำตอบคือ ณ วันนี้ วัดไทยเราที่ทรงพลัง มีการจัดการที่เยี่ยมยอด มีระบบการดำเนินการที่ฉับไว และร่วมรับรู้และแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเสมอมา จนทำให้สง่างามในสังคมโลก ไม่มีวัดไหนเกินวัดพระธรรมกาย ดังนั่น การชะงักงันหรือการล่มสลายของวัดพระธรรมกายคือการล่มสลายของสถาบันพระพุทธศาสนาไทย เพราะฝ่ายที่เหี้ยนกระหือรือที่จะปฏิรูปคงไม่ไว้หน้าวัดอื่นๆต่อไป อนึ่ง ยุคนี้ เป็นยุคที่แม้มหาเถรสมาคมเองก็อ่อนกำลังป้องกันตัวเองไม่ได้ พวกปฏิรูปคงสนุกมือละ สถาบันพระพุทธศาสนาก็คงหมดความสง่างาม ...นี่แหละคือจุดที่เราวิตก
      แต่แล้วเมื่อถึงวัน...เราก็หายวิตก
เพราะสายธารศรัทธาหลั่งมาเป็นกำแพงแก้วอันทรงพลัง..ทำให้ฝ่ายบ้านเมืองต้องคิด เหมือนอย่างบทสรุปข้างล่าง 
… เกี่ยวกับประเด็นนี้พิธีกรรายการ "Tonight Thailand" แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า

"สิ่งที่ทางศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายพูดมันไม่ใช่เรื่องน่าขัน มันคือการสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังขาดความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐอย่างรุนแรงมากๆ และตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐได้ รัฐบาลยากที่จะปกครองเข้าด้วยวิธีอื่น นอกเหนือจากการใช้กำลัง ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ .. มาตรา 44 ก็คือการใช้กำลังในเชิงนิตินัยไม่ใช่เชิงพฤตินัยนั่นเอง"

... ขณะที่ศิษย์วัดพระธรรมกายบางท่านโพสมุมมองส่วนตัวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่คณะศิษย์สามารถเชื่อมั่นและพึ่งพาได้ ทั้งนี้ โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์และกระบวนการที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้
(1) การที่ รมว. ยุติธรรมพูดว่า จับได้ต้องสึกสถานเดียว ยังไม่ทันพิสูจน์ความจริงก็โดนจับสึกแล้ว แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(2) การที่คุณไพบูลย์ นิติตะวัน พูดในรายการถามตรงๆ ว่า จับได้ต้องใช้ พรบ.สงฆ์ มาตรา 30 คือจับสึกอย่างเดียว เพราะถ้าจับสึกไม่ได้ คุณไพบูลย์ก็อยู่ไม่ได้ แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(3) การที่ดีเอสไอเชิญทั้งคุณไพบูลย์ นิติตะวัน และนายมโน เลาหวาณิชย์ ไปเป็นที่ปรึกษาวางแผนจับสึก ซึ่งทั้งสองประกาศตนเป็นคู่ปรปักษ์กับวัดพระธรรมกายออกสื่ออย่างชัดเจน แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(4) การที่ดีเอสไอนัดเจรจากับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่แล้วกลับไปออกรายการทีวีว่า มติการเจรจาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของดีเอสไอ แบบนี้จะประชุมทำไม แบบนี้หลอกใช้พระให้มาจับสึกไปติดคุกใช่หรือไม่
(5) พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครห้ามปราม แต่อีกฝ่ายหนึ่ง นอนป่วยเฉยๆ อยู่ในวัด ต้องยกกองกำลังมาจับสึกติดคุกให้ได้ ... แบบนี้มันยุติธรรมไหม ?
(6) กระบวนการยุติธรรมแบบนี้ มีแต่กับดักอันตราย ไม่ต่างอะไรจากเขียนคำสั่งพิพากษาประหารชีวิตไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่มีผู้ต้องหาด้วยซ้ำไป
(7) ระบบกฎหมายที่ไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการปกป้องตัวเองแม้กระทั่งยามเจ็บป่วยแบบนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอน😊
ผมดีใจที่ บทสรุปนี้มาจากลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย
เพราะนอกจากแสดงถึงความแกร่งทางด้านศรัทธาแล้ว ยังแข็งแกร่งทางด้านสติปัญญา ...อันที่จริงเหตุการณ์นี้เริ่มมาจากอดีตลูกศิษย์เอกของวัดพระธรรมกายคือคุณหมอท่านหนึ่งที่
ปัจจุบันมีความเห็นต่างจากครูอาจารย์แต่ได้แรงหนุนดีจากฐานอำนาจ จึงสมควรแล้วที่จะต้องใช้สติปัญญาของลูกศิษย์ปัจจุบันแก้ไข
แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่ให้ท่านโดดเดี่ยว
...เพราะวัดพระธรรมกายคือสถาบันของพระพุทธศาสนา
และเราถือว่า พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันรอดหมด
....เราจึงทิ้งกันไม่ได้....

ขอบคุณเเหล่งข้อมูล    ดร.บรรจบ บรรณรุจิ

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฟังสื่อมวลชนวิเคราะห์ข่าว ... ทำไมคณะศิษย์พระเทพญาณมหามุนี ขอให้รอเวลาที่บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในระบอบประชาธิปไตย จึงจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม?
จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่มีตัวแทนคณะศิษย์ได้แถลงข้อความแสดงจุดยืนตอนหนึ่งว่า "คณะศิษย์เห็นพ้องต้องกันว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยการมอบตัว ก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ คือเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น เพราะการที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมทำให้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม"

เกี่ยวกับประเด็นนี้ พิธีกรรายการ "Tonight Thailand" แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า
"สิ่งที่ทางศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายพูดมันไม่ใช่เรื่องน่าขัน มันคือการสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังขาดความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐอย่างรุนแรงมากๆ และตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐได้ รัฐบาลยากที่จะปกครองเข้าด้วยวิธีอื่น นอกเหนือจากการใช้กำลัง ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ .. มาตรา 44 ก็คือการใช้กำลังในเชิงนิตินัยไม่ใช่เชิงพฤตินัยนั่นเอง"


ขณะที่ศิษย์วัดพระธรรมกายบางท่านโพสมุมมองส่วนตัวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่คณะศิษย์สามารถเชื่อมั่นและพึ่งพาได้ ทั้งนี้ โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์และกระบวนการที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้
(1) การที่ รมว. ยุติธรรมพูดว่า จับได้ต้องสึกสถานเดียว ยังไม่ทันพิสูจน์ความจริงก็โดนจับสึกแล้ว แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(2) การที่คุณไพบูลย์ นิติตะวัน พูดในรายการถามตรงๆ ว่า จับได้ต้องใช้ พรบ.สงฆ์ มาตรา 30 คือจับสึกอย่างเดียว เพราะถ้าจับสึกไม่ได้ คุณไพบูลย์ก็อยู่ไม่ได้ แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(3) การที่ดีเอสไอเชิญทั้งคุณไพบูลย์ นิติตะวัน และนายมโน เลาหวาณิชย์ ไปเป็นที่ปรึกษาวางแผนจับสึก ซึ่งทั้งสองประกาศตนเป็นคู่ปรปักษ์กับวัดพระธรรมกายออกสื่ออย่างชัดเจน แบบนี้ยุติธรรมไหม ?
(4) การที่ดีเอสไอนัดเจรจากับเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่แล้วกลับไปออกรายการทีวีว่า มติการเจรจาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของดีเอสไอ แบบนี้จะประชุมทำไม แบบนี้หลอกใช้พระให้มาจับสึกไปติดคุกใช่หรือไม่
(5) พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครห้ามปราม แต่อีกฝ่ายหนึ่ง นอนป่วยเฉยๆ อยู่ในวัด ต้องยกกองกำลังมาจับสึกติดคุกให้ได้ ... แบบนี้มันยุติธรรมไหม ?


(7) ระบบกฎหมายที่ไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการปกป้องตัวเองแม้กระทั่งยามเจ็บป่วยแบบนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอน(6) กระบวนการยุติธรรมแบบนี้ มีแต่กับดักอันตราย ไม่ต่างอะไรจากเขียนคำสั่งพิพากษาประหารชีวิตไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่มีผู้ต้องหาด้วยซ้ำไป



ถึง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต
การที่ท่านจะชื่นชอบ คสช หรือ แม้แต่การเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม
หรือแม้แต่การสนับสนุนการดำเนินงานของ กปปส รวมถึงกิจกรรมของฝ่ายที่ต่อต้านธรรมกายนั้น
ไม่ใช่เรื่องที่ผิดครับ แต่การครอบงำความคิด ของนักศึกษามหาวิทยาลัย
นั้นต่างหากเป็นสิ่งที่ผิด และไม่ควรกระทำ
ผมเชื่อว่าถ้าท่านมองด้วยใจ เป็นกลางท่านจะรู้ได้ด้วยตัวเอง
ว่านักศึกษาของท่านที่ทำกิจกรรมกับชมรมพุทธ นั้นเป็นคนเช่นไร
ท่านอาจจะลืมไปแล้ว แต่ผมอยากเตือนสติท่านนิดนึ
เพราะการเลือกชมรม ชุมนุม ใดๆก็เป็นไปด้วยความสมัครใจ
พอเข้าไปแล้ว ไม่ชอบ ไม่ถูกจริต ก็ไม่มีใครบังคับ 
การที่ท่านเอาวัดพระธรรมกายไปเกี่ยวข้อง กับชมรมพุทธทั่ว ประเทศ และเหมารวมนั้น
มันไม่ถูกต้องกับนักศึกษา ที่ดำเนินกิจกรรมกับชมรมนี้ มาหลายปี
หลายคนที่ผ่านชมรม และจบออกไปแล้ว มีหน้าที่การงานที่ดี เป็นคนดีของประเทศชาติ
แบบนี้ ท่านไม่ภูมิใจ หรือ
การที่ ท่านเข้าไปเลื่อมใส ศาสนาใหม่ มันทำให้อคติ ในใจท่านเพิ่มมากขึ้น 
จนถึงขั้น ออกมาต่อต้านชัดเจนขนาดนี้
ผมว่ามันทำร้ายนักศึกษาที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนานะครั
อยากให้ท่าน พึงระลึกไว้ว่า มหาวิทยาลัย ควรเป็นสถานที่ ที่เปิดกว้างทุกความเชื่อ
 ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม!!

ท่านไม่รู้เลย หรือ ว่าในตู้ ห้องชมรมหลายมหาวิทยาลัย
มีหนังสือธรรมมะ อยู่ทุกประเภท หลายวัด หลายสาย และชมรมพุทธทุกมหาลัย
ก็ไม่เลือกวัดเลือกสี เลือกข้างในการทำกิจกรรม
หากท่านลองเดินไปเยี่ยม นักศึกษาบ้าง ท่านอาจจะไม่โพส อะไรแบบนี้
และที่สำคัญ เราไม่เคยดูถูกดูหมิ่น ครูบาอาจารย์ สำนักอื่นด้วย ฝากท่านไว้ด้วยความเคารพ

สัมพเวสีพิมพ์ : รุกขเทวาโพส
ดูเพิ่มเติม
— กับ Arthit Ourairat

เจ้าของบล๊อกเอง อดีตก็เคยเป็นประธานชมรมพุทธฯสถาบันที่มีชื่อเสียงเเห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ทั้งๆที่เรียนหนัก สำหรับ นักศึกษาคนหนึ่งที่ย้ายสาขาเรียน ต้องทำเกรดให้สูงเท่านศ.สาขาเดิม เเต่ก็ยังเจียดเวลาทำกิจกรรมชมรม เป็นระดับคณะกรรมการชมรม หลายชมรม เเละสูงสุดที่ภูมิใจมาถึงทุกวันนี้ คือเป็นประธานชมรมพุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ตลอดปีการศึกษาที่นั้น เเละมีผลการเรียนในระดับดีมาตลอด การทำงานชมรมฯในระหว่างการเรียนทำให้เราได้ฝึกการเป็นนักจัดการ ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ผู้นำคน ตั้งเเต่ยังเรียนไม่จบ การเเก้ปัญหาเฉพาะหน้า เเละการฝึกความอดทน ควบคุมสติ ล้วนได้มาเเบบเป็นผลพลอยได้โดยไม่รู้ตัว มาเห็นผลเมื่อเรียนจบ เเละต้องก้าวเข้าสู่โลกการทำงานที่ต้องเเก่งเเย่งกันตั้งเเต่ยังไม่ได้รับใบปริญญา เเละจากประสบการณ์ของตัวเองในการสมัคร เเละสัมภาษณ์งาน จนได้รับตำเเหน่งงานเเรกที่เลือก ตั้งเเต่ยังเรียนไม่จบ ก็เป็นถึงระดับหัวหน้าในสายงานที่จบมา  สิ่งเหล่านี้ ได้มาจากการทำงานชมรมฯล้วนๆ เเละยิ่งก้าวหน้าในอาชีพ เมื่อเครือข่ายคนรู้จัก ล้วนเป็นเด็กที่สมัยเรียน เก่งเเละดี ยังคงมีการติดต่อ เเละช่วยเหลือในสายงานอีกด้วย เพียงประโยชน์ที่ตัวเอง ได้รับ ยังขอบคุณมหาวิทยาลัยที่เคยเรียน ที่นอกจากให้ความรู้ทางทฤษฎี ยังสอนหลักสูตรชีวิตที่มหาวิทยาลัยไม่ได้เปิดสอน เป็นวิชาหลัก เเต่ให้เลือกเป็นวิชารอง ที่เเล้วเเต่ใครจะลงเรียน เเต่กลับให้ประโยชน์มหาศาลในการเบิกทาง สู่การเป็นคนคุณภาพให้สังคม ผู้เขียนจึงเขียนข้อความส่วนตัวเเทรกมาตรงนี้ เนื่องจากรู้สึกเศร้าใจในการกระทำของผู้ใหญ่บางท่าน ในสังคมที่เป็นถึงผู้บริหารการศึกษามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับมองความคิดของตัวเองด้านเดียว นึกถึงประโยชน์ฝ่ายตนด้านเดียว เเล้วจะเข้าไปพยายามชี้นำสังคม ให้มองการทำงานชมรมพุทธฯทุกสถาบันที่ผ่านมาเป็นสิ่งเลวร้าย เนื่องด้วยเชื่อในความคิดของปัญญาชนของชาติที่ร่ำเรียน ถึงระดับอุดมศึกษาในประเทศเรา ว่ายังคงมีคุณภาพ พอที่จะเเยกเเยะตัวเองได้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ นั้นถูกหรือผิด ตัวเองได้รับผลประโยชน์เเละสังคม ได้รับผลกระทบอะไรบ้าง หากท่านออกมากล่าวหาเช่นนี้ ก็เสมือนท่านดูถูกปัญญาชนของชาติทั่วประเทศเลยทีเดียว ช่างน่าเศร้าใจนัก เเละรู้สึกผิดหวังในการสร้างภาพลักษณ์ว่ามี"มีคุณภาพ" ของสถาบันใกล้กรุงเทพวันนี้จริงๆ




วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เปิดคำยืนยัน "ศุภชัย" ย้ำพระธัมมชโยไม่ทราบที่มาเงินบริจาคและไม่เกี่ยวข้องใดๆ เผยเป็นเงินยืมจากสหกรณ์และได้คืน


มีคนส่งกลอนของ คุณจักษ์ พันธ์ชูเพชร
มาให้ช่วยแก้
แสนดีก็ไม่รู้เขาเป็นใครหรอกนะครับ ไม่ได้สนใจ
รู้แค่ว่าเป็นคนที่ ขึ้นเวทีการเมืองกู้ชาติ
และได้ใบปริญญาตั้ง 5 ใบแน่ะ
...
มิน่าครับ สำนวนการเขียนกลอนเก่งสุดๆ
ขึ้นด้วยกาพย์ยานี 11
แล้วก็กลายเป็น กลอน 8 (มั้ง)
ภายในบทกลอนเดียวกันได้ด้วย
ไม่เคยเห็นใครทำได้นะครับ
เก่งสุดๆ ยกนิ้วให้เลยครับ 55555

เนื้อหาก็มั่วซั่วมากๆ อคติล้วนๆ
สัมผัสก็สุดยอดเลยครับอาจารย์
ระดับสร้างฉันทลักษณ์ขึ้นมาเองเลยทีเดียว

เสริมเรื่องพระติสสะครับ
ท่านเป็นพระที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังพุพอง น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลออกตลอดเวลา และเป็นเรื้อรังจนไม่มีใครดูแล
พระพุทธเจ้าท่านเลยทรงเสด็จมาโปรด และมาช่วยดูแลเช็ดตัวให้แห้ง และประทานโอวาทจนได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์


อยากทราบวิบากกรรมไหมครับ ในสมัยพระพุทธกัสสป ท่านติสสะ เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำ คือยิงนกมาแล้วก็แกงขายบ้าง ขายเป็นบ้าง ขายตายบ้าง ถ้าวันไหนได้นกมามาก ขายวันนั้นไม่หมดก็หักแข้งหักขา หักกระดูกปีก เกรงว่านกจะบินหนีไป เอาไว้ขายสดๆ
ต่อมาวันหนึ่งก่อนที่ท่านจะไปหานกในตอนเช้า วันนั้นบังเอิญพระอรหันต์มาบิณฑบาตองค์เดียว ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ ก็คิดในใจว่าในชีวิตของเราทั้งชีวิตขึ้นชื่อว่าการทำความดีที่จะทำบุญกุศลไม่เคยมีในเรา เรามีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกวัน วันนี้ขอทำบุญตอนเช้า เมื่อเห็นพระเดินมาก็ออกไปรับบาตร
ทำแกงนกที่มีอยู่ให้แกงอย่างดีที่สุด เมื่อแกงเสร็จก็นำมาใส่บาตรพระ
พระท่านก็ให้พรแล้วท่านก็กลับ หลังจากนั้นมาท่านก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดมา
ในชีวิตของท่านทำบุญครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการบังเอิญทำบุญกับพระอรหันต์ซึ่งมีอานิสงส์มาก

ก่อนที่จะตายท่านก็นึกถึงการทำบุญ
ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
และในชาติสุดท้าย ก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
และได้มาบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และต่อมาก็ป่วยเพราะวิบากกรรม

บรรดาพระทั้งหลายก็เลยถามว่
"พระติสสะ ทำบุญอะไรไว้จึงเป็นอรหันต์ง่าย"

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
 "ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป พระติสสะ ทำแต่บาปอย่างเดียวไม่เคยทำบุญ
หมายถึงทำบุญอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ไม่เคยทำ มีหน้าที่ยิงนกดักนกเอามาขายแก่ชาวบ้าน ถ้าวันไหนนกเหลือมาก ตัวไหนมันใกล้จะตายก็ย่าง นกย่างขายได้ราคาถูกกว่านกเป็นๆ ถ้านกเป็นๆ มีมากเกินไปก็เกรงว่านกจะบินหนีก็หักกระดูกแข้งเสียบ้าง หักกระดูกปีกเสียบ้าง ผลอันนี้เป็นปัจจัยให้ท่านติสสะเมื่อบวชเข้ามาแล้ว จึงมีร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว และตุ่มนั้นค่อยๆ โตมาทีละน้อยจนกระทั่งแตกเป็นนํ้าเหลืองเยิ้ม และกระดูกร่างกายที่หักก็เพราะเคยหักกระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกปีกนก เพราะกฎของกรรมอย่างนี้มาสนอง แต่อาศัยที่พระติสสะได้ ทำบุญกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะอานิสงส์นี้เองทำให้พระติสสะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เมื่อตถาคตเทศน์จบ"
ใครทำอะไรไว้ รับรองครับ กรรมตามอยู่แล้วครับ แต่จะเมื่อไรเท่านั้นเอง
ระวังนะครับ อ.จักษ์

                                                           .....................................................


วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559


จุดเริ่มต้น...ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจวัดผิด
จากการพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์
เรื่องวัดพระธรรมกายรังแกชาวนา ได้ตกเป็นข่าวเกรียวกราว
จนยอดขายหนังสือพิมพ์พุ่งพรวดหลายวันติดต่อกัน
และตามมาติดๆ ด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม
มีสถานีวิทยุส่งคลื่นสัญญาณเพื่อก่อการร้าย!!
..และนับแต่นั้นมา ก็มีคนเข้าใจ
ภาพลักษณ์ของวัดผิดๆ แบบชนิดฝังใจมาจนกระทั่งปัจจุบัน!!

แต่ในทางกลับกัน มีคนจำนวนหลายหมื่นเข้าวัดอย่างเหนียวแน่น และต่อเนื่องมาโดยตลอด
อีกทั้งคนกลุ่มนั้นยังเป็นถึงกลุ่มปัญญาชน มีทั้งระดับดอกเตอร์ ระดับมันสมองของเมือง
กลุ่มคหบดีผู้มั่งคั่งของประเทศ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านระดับรากหญ้า ต่างก็กรูกันเข้าวัดด้วยกระแสศรัทธาอันแรงกล้าจำนวนเรือนแสน
จากประเด็นที่เป็นปมคาใจอย่างไม่จบสิ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ทางทีมงานขออนุญาตเป็นตัวแทนสื่อมวลชนทุกแขนง
ในการเจาะข้อมูลในระดับลึกแบบคำต่อคำ จากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุการณ์นั้น ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ระดับสูงของบ้านเมือง ที่มีฉายาทางการเมืองว่า

"คลังสมองแห่งชาติ" หรือ "ลูกหม้อ ของกระทรวงมหาดไทย" ..ท่านโกสินทร์ เกษทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน ซึ่งดำรงตำแหน่งมาถึง ๒ สมัยแล้ว

จากประวัติและผลงาน อันเป็นที่ประจักษ์ โดยเริ่มต้นจากปลัดอำเภอ ทยานสู่ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ
ในปัจจุบัน ทำให้ท่านรู้เรื่องงานของทุกกรมที่เกี่ยวข้อง ในกระทรวงมหาดไทย โดยเริ่มจากการเป็นนายอำเภอมาหลายแห่ง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัด จังหวัดสุดท้าย
ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอธิบดีคนแรก ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คือจังหวัดเชียงใหม่
ท่านมี ผลงานฝากไว้ในแผ่นดินมากมายอาทิเช่น การแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุด
ในรอบ ๑๐๐ ปีของจังหวัดศรีษะเกษ
แก้ปัญหาวาตภัยโคลนถล่ม
ครั้งใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่ การขุดลอกลำน้ำที่เป็นสายโลหิตใหญ่ของเมืองเหนือคือ แม่น้ำปิง และลอกคูคลองทั้งจังหวัดเชียงใหม่ บรรเทาภัยหนาว แก้ปัญหาสภาวะภัยแล้ง
ยกระดับและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย
ทางถนนของประเทศไทย ลดอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนน
ตามจับวัยรุ่นตาม เธค ผับ ที่มั่วกันเสพยา ด้วยตัวของท่านเอง
ดำเนินงานบำบัดผู้ติดยา เสพติดหลายพันคน
จัดโครงการนำพาเด็กนักเรียนเยี่ยมคุก จัดอบรมจริยธรรมให้เยาวชน
แก้ปัญหาความยากจน ตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทำโครงการคืนน้ำใส ให้ห้วยแก้ว ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่
แต่กลับเป็นน้ำตกที่แห้งขอดมานานถึง ๒๕ ปี ซึ่งนับเป็นงานที่ยากมากที่ใครจะทำได้สำเร็จ
เพราะท่านต้องแก้ไขปัญหานี้ท่ามกลางผู้เสีย ผลประโยชน์หลายฝ่าย
แต่ด้วยอัธยาศัยที่เป็น คนตรง มีความจริงใจกับทุกคน กล้าได้กล้าเสีย ยึดความถูกต้อง ทำงานแบบทุ่มชีวิตของท่านนี้ ทำให้ท่านสามารถทำงานสำเร็จลุล่วงมาได้ทุกครั้ง
ท่านมีผลงานที่นำความภูมิใจมาสู่ชีวิตเป็นจำนวนมาก
ซึ่งหนึ่งในผลงานนั้นก็คือการช่วยให้ความเป็นธรรมใน "กรณีวัดพระธรรมกาย"!!

"ผมเป็นนายอำเภอมาหลายจังหวัด จนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ขอย้ายผมมาเป็นนายอำเภอคลองหลวง
โดยท่านให้ช่วยมาจัดการปัญหา ด้านการบุกรุกที่ดินสาธารณะในเขตนวนคร
และปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งคือ ปัญหาชาวนากับ
วัดพระธรรมกายที่กำลังเป็นข่าวไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งผมก็ได้ข่าววัดจากหน้าหนังสือพิมพ์ และคนรอบข้าง ที่ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวทาง ด้านลบทั้งสิ้น
แม้ตอนเพิ่งย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ แต่ละคนก็ด่าวัด ด่าพระให้ผมฟังทุกวัน เขาพูดแรงจนกระทั่ง ทำให้ผมมาคิดว่า ผมน่าจะเข้าไปดูหน่อย
หากวัดไม่ดีมากขนาดนี้วัดคงอยู่ไม่ได้ แต่นี่ยังอยู่ได้ แสดงว่าต้องมีอะไรดีอยู่บ้าง
ผมจึงให้คนขับรถพาผมเข้าวัด โดยที่วัดเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น
เมื่อไปถึงผมก็สำรวจโน่น สำรวจนี่ เดินไปเดินมาจนมาเจอเด็กวัด
ที่เรียกกันว่าอุบาสก ซึ่งเรียนจบถึงปริญญาตรีจากจุฬาฯ คณะสัตวแพทย์
ปัจจุบันท่านบวชอุทิศชีวิตแล้ว ชื่อพระอาจารย์สุรัตน์ อคฺครตโน
ซึ่งตอนนั้นผมประทับใจท่านมาก ที่ได้เข้ามาทำการต้อนรับถามไถ่
พาผมไปดูสไลด์ประวัติการสร้างวัด พอดูเสร็จ
ผมก็บอกให้เขาช่วยพาไปดูใต้โบสถ์หน่อย เพราะร่ำลือกันว่าเป็นที่ซ่อนอาวุธสงคราม
เป็นสถานีวิทยุส่งสัญญาณก่อการร้าย พอเปิดเข้าไปไม่เห็นเจออย่างที่ลงข่าว เลย
เจอแต่เสื่อ และก็กระเบื้องที่เอาไว้ซ่อมโบสถ์และเครื่องอัฐบริขาร จากนั้นผมเลยถามเขาต่อว่า
พระที่นี่พักกันที่ไหน จำวัดกันอย่างไร เพราะร่ำลือ กันว่า พระที่นี่กินอยู่สบาย กินข้าวร้อน นอนตื่นสาย
ติดแอร์นอน ซึ่งพอเขาพาไปดู ก็เป็นเพียงกุฏิหลังคามุงด้วยใบจาก
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกลด เอาไว้นั่งสมาธิ และเอาไว้จำวัดกันในนั้นเลย
พอเห็นประจักษ์อย่างนี้ ผมก็เลยทักขึ้นว่า
พระจำวัดกันอย่างนี้หรือ ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย คือไม่เห็นเหมือนกับข่าวลือที่เขาบอก
และเมื่อผมดูอะไร ทุกอย่างเสร็จ จนหายสงสัยแล้ว
ผมจึงเข้าไปพบหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย"
จากเดิมทีเดียววัดมีเนื้อที่ ๑๙๖ ไร่ ต่อมามีคนเข้าวัดจนล้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ เพราะคนมามาก
จะไปห้ามไม่ให้เขามา หรือเขามาแล้วจะไปไล่เขาไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่พระจะไปทำอย่างนั้น
ดังนั้นจึงทำการขอซื้อที่ดินกึ่งบริจาคจากเจ้าของที่ โดยสาธุชนที่มาวัดกันในสมัยนั้น ก็
เห็นพ้องต้องกัน ยินดีช่วยกันบริจาคเงินด้วยจิตศรัทธา
เชิญชวนญาติพี่น้องให้เข้ามาช่วยขยายพื้นที่จำนวน ๒,๐๐๐ ไร่
"..ซึ่งหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว วัดถูกมอง ว่าเป็นวัดรวย คนรอบข้างวัด ก็คิดหาประโยชน์จากการขยายพื้นที่ทันที
โดยมีนายใหญ่สมคบกับ นายบานเย็น นักก่อม็อบ โวยวายหาว่าวัดรังแกชาวบ้าน วัดขับไล่ชาวบ้านอย่างไม่เป็นธรรม
หนำซ้ำยังเรียกหนังสือพิมพ์ไปทำข่าว ว่าจะ กระโดดตึกห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แถวปิ่นเกล้า กทม. เพราะทนวัดรังแกไม่ไหว
จนเป็นข่าวพาดหัว หนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน ตามด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม ซึ่งตอนนั้นคนก็เชื่อกันเหลือเกิน..."
ในฐานะที่ผมเป็นนายอำเภอของที่นี่ ก็เข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก มาอ่านคำร้องของชาวนา
มาดูในเรื่องกฎหมายการเช่าพบว่าหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว
ชาวนาที่เคยเช่าที่ดินกับเจ้าของเดิมไม่ยอมออก ซึ่งคณะกรรมการ จัดซื้อที่ดินก็เห็นใจ
และได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยได้ทำหนังสือแจ้งให้
ผู้เช่านารู้ล่วงหน้าก่อนถึง ๗ ปี ว่าจะเลิกสัญญาเช่า
ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ยอมเริ่มนับหนึ่งให้พวกเขาใหม่ แต่เมื่อรอจนถึง ๗ ปี เขาก็ไม่ยอมออก
ก็ไม่ว่าอะไร จึงรอเพิ่มอีกหลายปี ซึ่งเขาก็ไม่ยอมออกอีก ทั้งๆ ที่คณะกรรมการฯ
ยอมจ่ายค่ารื้อถอนบ้านให้หลังละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ทำให้มีชาวบ้านหัวใสเอาลังสบู่ มาตอกเป็นบ้านผุดขึ้นในช่วงข้ามคืนอีกหลายหลัง
เพื่อนำมาเรียกร้องค่ารื้อถอนกับคณะกรรมการฯ ซึ่งผมไปดูพื้นที่เองทำให้เห็นกับตา
แต่คณะกรรมการฯ ก็ยอมจ่ายให้ไม่เอาเรื่อง เพราะพวกชาวบ้านรู้ว่า ยังไงคณะกรรมการฯ ก็ต้องยอม
เพราะคณะกรรมการฯ กลัวเสียชื่อเสียง มากไปกว่านั้น
คนกลุ่มนี้ยังวางแผนเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ที่ระบุไว้ตามกฎหมายเลย
อีกทั้งยังก่อเรื่องให้เป็นข่าวพาดหัว ให้วัดเสียชื่อเสียงไม่เว้นแต่ละวัน
แต่ผม..ในฐานะผู้รักษากฎหมาย เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างนี้ ก็ทนไม่ได้
จึงไปกราบหลวงพ่อ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสว่าผมจะไปอัดมัน
ท่านก็ดีแสนดี หลวงพ่อท่านก็ห้ามว่า อย่าๆๆ อย่าไปผูกเวรกับเขา เขาจะขอหลังละเท่าไหร่ ถ้าเหมาะสม
ก็จะบอกบุญกับเจ้าภาพช่วยกัน
เมื่อผมฟังอย่างนี้ ผมจึงเสนอว่าให้เอาเงินไปไว้ที่ศาลให้ศาลเป็นผู้จ่ายให้
หลังละ ๘๐,๐๐๐ บ้าง ๑๐๐,๐๐๐ บ้าง พวกนั้นก็รีบตาลีตาเหลือกไปรับเงินมาจนครบ
ผมก็นึกว่าเรื่องจะจบ แต่ที่ไหนได้มารับเงินไปเรียบร้อยหมดแล้ว มีอยู่ประมาณ ๑๐ หลัง
ไม่ยอมย้ายออกจากทั้งหมด ๖๐ กว่าหลัง ผมจึงต้องรื้อแล้วครับ เพราะถือว่าศาลได้ตัดสินให้ออกแล้ว
เมื่อเหตุการณ์ออกมาในรูปแบบนี้
จะไปพูดว่าวัดรังแกชาวนาได้ยังไง
แต่กลายเป็นอันธพาลมารังแกวัดถึงจะถูก
เพราะผมเองเป็นผู้รู้เห็น และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ หลายๆ เหตุการณ์
ตั้งแต่ชาวนามารื้อถอนสระบัวในวัด จับปลาปิ้งย่างกินแกล้มเหล้าในวัด
แล้วด่าพระว่า ไอ้โล้น ต่างๆ นานา พอวัดสร้างรั้วกั้นไม่ให้เข้า ก็ยกพวกกันมารื้อถอนจนรั้วล้มเป็นแถว
วิ่งเข้ามาทุบพระพุทธรูป ขโมยของวัดแม้วันงานทอดกฐินของวัดก็ยังไม่เว้น
วิ่งโร่ถือคบเพลิงเข้ามาเผากุฏิไป ๒ หลัง พระเณรหนีเกือบไม่ทันแทบจะถูกไฟคลอกตายในกุฏิหลังคาจาก
ซึ่งตอนนี้คนก่อกรรมก็ได้รับกรรมอย่างน่าสงสารให้เห็นๆ กันแล้วในชาตินี้"
มา ณ วันนี้ แม้กรณีชาวนาจะยุติไปแล้วก็จริง แต่ภาพลักษณ์ของวัดก็ยังไม่ถูกแก้เลย
เพราะข้อมูลแนวลึกแบบนี้ ยังไม่ถูกเปิดเผยใน แนวกว้าง
เพราะธรรมชาติของหนังสือพิมพ์ของ บ้านเรา อะไรที่เป็นข่าวแนวลบ โหด โฉด แรงๆ
หากนำมาพาดหัวข่าว จะทำให้หนังสือพิมพ์ขายดี
ส่วนข่าวด้านดี หรือการแก้ข่าว ก็จะนำเสนอบ้างเป็น มุมเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยเห็น ทำให้คนไม่ได้อ่านกัน"
"..นับจากนั้นเอง วัดก็ถูกจับตามองเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะทำอะไรดูเป็นผิดไปหมด

อย่างเช่น อยู่ๆ ก็มีคนถามผมว่า เดี๋ยวนี้วัดพระธรรมกายขายที่ดินบนสวรรค์หรือ..?
ผมฟังแล้วก็นึกหัวเราะ ลองนึกถึงหลักความจริงดูเถิดว่า ใครจะบ้าไปขายที่บนสวรรค์
หากขายจริง..ใครจะบ้าไปซื้อ
สรุปก็คือวัดทำอะไร ก็ถูกมองในแง่ลบตลอด เป็นข่าวลือผิดๆ ตลอดเวลา
ซึ่งคนที่พูดๆ กัน ก็ยังไม่เคยมาวัดเลย และเมื่อมาพูดถึงเรื่องการโดนโจมตี พระที่เป็น นักปฏิบัติ
เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ไม่เห็นมีใครมาว่าร้ายหลวงพ่อสักรูป
ผมว่าให้ลองทำใจกลางๆ แล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง มาลองนั่งสมาธิดูก่อน
อย่าไปเชื่อข่าว หรือฟังคนนั้นคนนี้พูด เพราะจะเป็นบาปกับตัวเอง
แล้วยังเป็นการตัดโอกาสในการสร้างบุญของตัวเองไปอีกด้วย
ผมยิ่งมาวัดนี้..ผมยิ่งประทับใจ อย่างเช่น งาน อปท. ที่เพิ่งผ่านไป ถามว่าหากต้องเตรียมการต้อนรับคนเกือบ ๘๐,๐๐๐ คนให้ดี ต้องทำอย่างไร ..
แค่คิดจะชงกาแฟให้ทุกคนๆ ละแก้ว ให้ ได้ดื่มพร้อมๆ กัน ก็ยากแล้ว แต่วัดพระธรรมกาย ทำได้ สามารถแจกข้าว แจกน้ำ แจกขนม ให้คน ๘๐,๐๐๐ คน พร้อมๆ กันภายในเวลาไม่ถึง ๑๕ นาทีเสร็จได้อย่างเรียบร้อย
และหากไปเจาะถึง เบื้องหลังการเตรียม การทำอาหารที่นำมาแจก ทุกมื้อ ที่มีปริมาณมากขนาดให้คนกินพอ ๘๐,๐๐๐ คน ในระยะเวลาที่มีจำกัดมากๆ ก็จะยิ่งทึ่งใหญ่
ว่าเขามีวิธีการทำอย่างไร จนทำให้ย้อนนึกไปถึง
ผู้ที่มาบริหารจัดระบบ จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดา แน่ๆ ซึ่งก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง"
ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้าวัดนี้มายาวนาน กว่า ๒๓ ปี ทำให้ผมได้คลุกคลีกับวัดอย่างใกล้ชิดมาตลอด มาฟังธรรม มานั่งสมาธิทุกอาทิตย์ต้นเดือน
และได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์หลายครั้ง จนทำให้ผมซาบซึ้งในหลักธรรม ทำให้ผมได้ซึมซับหลักการบริหารด้วยธรรมะของหลวงพ่อไปใช้ เพราะงานของผมเป็นงานใหญ่ๆ ที่ต้องแก้ปัญหาอย่างปัจจุบันทันด่วนตลอดเวลา
เป็นงานที่เสี่ยง ชีวิตมากๆ ซึ่งเมื่อผมมาคิดย้อนหลังดู มีหลายครั้งที่เหมือนตัวเองเจอปาฏิหาริย์ ทำงานได้สำเร็จและรอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
การทำงานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมองแบบบูรณาการก้าวโพ้นไปในอนาคตมากๆ
อะไรที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสังคมท่านทำทันที
เช่น รายการธรรมะผ่านดาวเทียมที่เรียกว่า DMC เป็นสื่อสีขาวที่ผลิตขึ้นมาช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศที่ต้นเหตุ คือเป็นการทำให้คนในชาติกลัวบาปกลัวกรรม ไม่กล้าทำชั่ว แล้วหันมาทำแต่ความดีต่อกัน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ปัญหาของประเทศก็จะลดลงไปมาก ส่วนการแก้ปัญหาของสังคมด้านอื่นท่านก็ไม่ทิ้ง อีกทั้งยังทำอย่างต่อเนื่อง มาหลายสิบปีแล้ว
เช่น การช่วยภัยน้ำท่วม ซึ่งผมเองยังเคยต้อนรับมูลนิธิธรรมกาย ที่ได้ไปช่วยประชาชนตอนเดือดร้อน เพราะน้ำท่วมใหญ่ที่ศรีษะเกษและเชียงใหม่
ในช่วงที่ผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ที่นั่น และมากไปกว่านั้น วัดยังได้ช่วยเหลือคนไทย ที่ประสบภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ช่วยภัยวัดภาคใต้ ๒๖๖ วัด ที่กำลังเดือดร้อน
ในขณะนี้ทุกเดือนจนถึงปัจจุบัน โดยให้ช่วยกันทำบุญวัดละ ๑ บาท คือ ใครมีเพียง ๑ บาท ก็มีสิทธิ์ได้บุญแล้ว ท่านไม่ได้บังคับใคร
แม้ใครไม่มีจริงๆ ก็มาเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัด ท่านก็ไม่ว่า อีกทั้งท่านยังรณรงค์ให้คนเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ ด้วยโครงการเทเหล้าเผาบุหรี่ ปิดซ่อง ปิดบ่อนไก่ ซึ่งโครงการเหล่านี้ มีผู้เสียผลประโยชน์ กลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านท่านมาก แต่ท่านก็กล้าทำ
เพื่อแก้ปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมในระดับลึก จนกระทั่งได้รับรางวัล
World No Tobacco Day Awards 2004 จากองค์การอนามัยโลกและรางวัลมหาตมะ คานธี
เพื่อสันติภาพ ในฐานะที่เป็นผู้อุทิศตนให้กับการพัฒนาและปลูกฝังศีลธรรมแก่เยาวชนมากว่า ๔๐ ปี..
มากไปกว่านั้นท่านยังพื้นฟูพระพุทธศาสนาแบบบูรณาการโดยการนิมนต์พระจากทั่วประเทศ
ครั้งละหมื่นรูป แสนรูป มาพูดคุยกัน
เพื่อค้ำจุนศาสนาพุทธไม่ให้ไปถึงจุดเสื่อม และยังมีโครงการอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งท่านได้ทำถึงขนาดนี้ แต่กลับมีคนโจมตีท่านตลอดเวลา
ว่าท่านชวนคนทำบุญมากเกินไป วัดนี้รวยแล้ว แต่หากมาดูกันอย่างผู้มีปัญญา
ในมุมมองของนักพัฒนาแผ่นดินแล้ว ก็พอจะคำนวณออกว่าโครงการทั้งหลาย ที่ท่านทำไป
เพื่อประโยชน์กับสังคม ประเทศชาติ และคน ทั่วโลกขนาดนี้ ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่
ซึ่ง หากได้เข้าวัดเป็นประจำจริงๆ ก็จะรู้ว่า เงินที่บริจาคมาไม่เพียงพอต่อโครงการ
ที่จะเข้ามาเยียวยาและแก้ไขปัญหาของประเทศ ในแง่ของการฟื้นฟูศีลธรรมมนุษย์เลย"

จากการได้รับอนุญาตให้เข้าพบและพูดคุยกันที่บ้านของท่านโกสินทร์ เกือบ ๔ ชั่วโมง
ในครั้งนี้ นับว่าคุ้มค่ามาก เพราะเมื่อเรียบเรียงเรื่องนี้เสร็จ
ก็มีความคิดว่าอยากจะส่งบทความนี้ให้คน ๖ พันล้านคนทั่วโลก
หรือสื่อมวลชนทุกแขนงได้รับทราบ ไม่ใช่เพื่อเป็นการแก้ข่าววัด แต่เพื่อให้คนไทยทุกๆ คน
ได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งบ้าง
และอยากจะให้มาคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากมีวัดๆ หนึ่งที่คิดจะทำประโยชน์ให้สังคม
และชาวโลกด้วยความตั้งใจดี จะเป็นการดีกว่าไหม
ที่ควรหันมาช่วยกันปรับปรุงพัฒนา ให้บังเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับพระพุทธศาสนา กับแผ่นดินของเรา
ดีกว่าการคิดทำลายว่าร้ายคนไทย ด้วยกันเอง เพราะความเข้าใจผิด
หรือได้รับข้อมูลในทางที่ไม่ถูกต้อง
ถึงเวลาแล้วที่คนไทยเราทุกคน ควรร่วมมือกันสมานฉันท์ เพื่อตัวเรา เพื่อแผ่นดินของเรา
เพื่อจะได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นบนโลกของเราสักที
‪#‎ธรรมกาย‬
‪#‎เรารักพระพุทธศาสนา‬
‪#‎วัดพระธรรมกาย‬
‪#‎dhammakaya‬


วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559


ตามที่มีนักวิชาการกฎหมาย
กล่าวถึง ป. วิ อาญา มาตรา 39 (2) ที่ว่า
"ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์
ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ต้องระงับการฟ้อง จะนำมาฟ้องหรือตั้งคดีใหม่ไม่ได้"
ชวนให้เกิดความคลางแคลงใจขึ้นว่า

1. ดีเอสไอมีอำนาจในการดำเนินคดี
ที่ไม่มีผู้เสียหายและถอนฟ้องไปแล้วได้จริงหรือไม่


2. การตั้งคดีเพียงเพราะมีผู้กล่าวหาอย่างเลื่อนเลย
โดยไม่มีหลักฐานกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

สามารถดำเนินการสอบสวนได้จริงหรือไม่

3. ขั้นตอนการสืบสวนทั้งหมดที่ผ่านมา
ดีเอสไอทำถูกต้องตามหลักกฎหมายจริงหรือไม่


เพราะตามหลักวิชาการแล้ว
เมื่อมีผู้รู้ทางกฎหมายหลายท่าน
ทั้งที่เป็นอัยการและทนายความ
ออกมาท้วงติงถึงความไม่ถูกต้องเช่นนี้แล้ว
ดีเอสไอควรจะยับยั้งการสอบสวนทั้งหมดไว้ชั่วคราวก่อน
เพื่อกลับมาทบทวนข้อกฎหมายให้ถูกต้อง
ทบทวนขั้นตอนการสืบสวนให้ถูกต้อง
ก่อนที่การสอบสวนคดีอย่างลัดขั้นตอน
จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของระบบกฎหมายไทย
และก่อนที่การตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
โดยอาศัยมูลฐานแค่มีผู้กล่าวหาอย่างเลื่อนลอย
โดยไม่มีการแสดงหลักฐานกระทำความผิด
จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของระบบกฎหมายไทย
เพราะบรรทัดฐานการสอบสวนที่ดีเอสไอ
กำลังสร้างขึ้นใหม่ในขณะนี้
ได้สร้างความกระทบกระเทือนใจต่อประชาชน
และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกของสังคมอย่างรุนแรง
เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป หากมีการกุเรื่องเท็จ
กล่าวหาอย่างเลื่อนลอยในข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
โดยไม่มีหลักฐานกระทำความผิด
ประชาชนทั้งประเทศก็สามารถถูกดำเนินคดี
อย่างลัดขั้นตอนได้ทันที
โดยอ้างอิงจากการสอบสวนอย่างลัดขั้นตอนที่ดีเอสไอ
สร้างขึ้นเป็นบรรทัดฐานใหม่ในระบบกฎหมายไทย
จะเห็นได้ว่า บรรทัดฐานใหม่ที่ดีเอสไอสร้างขึ้นนี้
ได้กลายเป็นการสร้างช่องว่างทางกฎหมาย
ให้เกิดการกลั่นแกล้งใส่ร้ายจากผู้ที่ปรปักษ์ต่อกันได้อย่างง่ายๆ
เพียงแค่กุเรื่องเท็จ กล่าวหาอีกฝ่ายอย่างลอยๆ
ก็สามารถยืมมือกฎหมายจับกุมอีกฝ่าย
ไปดำเนินคดีได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแสดงหลักฐาน
และสืบสวนพยานแต่อย่างใดๆ เลย
ลองคิดดูว่าสังคมจะเดือดร้อนวุ่นวาย
จากการกลั่นแกล้งใส่ร้ายมากมายเพียงใด
ยิ่งกว่านั้น บรรทัดฐานใหม่ที่ดีเอสไอสร้างขึ้นนี้
ยังได้ก่อผลกระทบต่อความมั่นคง
ของพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรงอีกด้วย
เพราะถ้าหากการรับบริจาคคือการฟอกเงินและรับของโจร
วัด 33,902 แห่ง พระสงฆ์ 300,000 รูป ก็จะมีโอกาส
ตกเป็นผู้ต้องหาฟอกเงินและรับของโจรได้อย่างง่ายๆ
เพียงแค่มีผู้กุเรื่องใส่ร้ายโดยไม่มีหลักฐาน
เพียงแค่รับบริจาคโดยไม่ทราบที่มาของเงิน
ก็สามารถถูกจับสึกอย่างลัดขั้นตอนการไต่สวน
ถูกจับติดคุกติดตารางด้วยคำกล่าวหาลอยๆ ได้ในทันที
บรรทัดฐานที่ดีเอสไอกำลังสร้างขึ้นใหม่นี้
จึงมิใช่แค่ก่อผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ของประชาชนทั่วไปในวงกว้างเท่านั้น
แต่กำลังส่งผลกระทบร้ายแรงถึงขั้นที่ทำให้
พระพุทธศาสนาถึงกาลล่มสลายจากประเทศไทยได้เลยทีเดียว
ดังนั้น ก่อนที่จะมีความผิดพลาดเสียหาย
ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและความมั่นคง
ของพระพุทธศาสนามากไปกว่านี้ ทางออกที่ดีในขณะนี้ก็คือ
1. ดีเอสไอควรยับยั้งการดำเนินคดีไว้เป็นการชั่วคราว
แล้วกลับมาทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติงานใหม่
เพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดบรรทัดฐานใหม่
ในการบังคับใช้กฎหมาย
ที่ก่อให้เกิดความอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และสั่นคลอนความมั่นคงของพระพุทธศาสนา
2. นักวิชาการกฎหมาย ผู้รู้ด้านกฎหมาย
ควรเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

ก่อนที่จะมีความตื่นตระหนกตกใจไปมากกว่านี้
จนถึงขั้นเกิดความวุ่นวายในประเทศไทย
โดยออกมาให้ความรู้แก่ประชาชนและพระสงฆ์
ในประเด็นที่กำลังตื่นตระหนกและวิตกกังวล
เป็นอย่างมากในเวลานี้ก็คือ

1) การรับบริจาคเข้าข่ายการฟอกเงินและรับของโจรหรือไม่
2) การตั้งข้อหาดำเนินคดี โดยอาศัยมูลฐานเพียงแค่
มีผู้กล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานกระทำความผิด
เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจกระทำการได้หรือไม่

3) คดีที่มีการถอนฟ้องไปแล้ว ไม่มีผู้เสียหายแล้ว
เจ้าหน้าที่รัฐยังมีอำนาจในการดำเนินคดีนั้นอยู่หรือไม่

4) การออกหมายจับ โดยไม่แสดงหลักฐานกระทำความผิด
ที่สอดคล้องกับข้อหา เจ้าหน้าที่รัฐสามารถกระทำได้หรือไม่


หากประชาชนและพระสงฆ์ทั้งประเทศได้รับความกระจ่าง
จากนักวิชาการกฎหมายในเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็จะมั่นใจได้ว่า

กฎหมายยังให้การคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ความตื่นตระหนกของประชาชน ของชาวพุทธ
และของพระสงฆ์ทั้งประเทศ ก็จะได้หายคลางแคลงใจ

ในการดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
ที่ปฏิบัติกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอย่างขัดแย้งกับ

ป.วิ อาญา มาตรา 39 (2) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นบรรทัดฐาน
ให้พระสงฆ์ทั้งประเทศตกเป็นผู้ต้องหาฟอกเงินและรับของโจร
จากการรับบริจาคอยู่ในขณะนี้

--------------------------------------------------------------------
๗ มิถุนายน ๒๕๕๙
๑๓.๔๙ น.
ปล. ความคิดเห็นส่วนตัว
Cr.หลวงพี่ตรีเทพ


คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget