วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ชี้แจงข่าว วัดพระธรรมกาย 20 ก.พ. 2560 เวลา 16.45 น.
กรณีมีข้อความในข่าวของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองระบุว่า
“ไม่ยอมให้"ธรรมกาย"ปกครองตนเอง เป็นเอกเทศ เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปได้ ดูทุกซอกมุม ทำตามหมายค้นตามคำสั่งศาล มิฉะนั้น ผิด ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยระบุว่าไม่สำคัญว่าจับตัวได้หรือไม่ แต่ จนท.รัฐ ต้องเข้าไปให้ได้” ทางวัดขอชี้แจงว่า
                   
1.วัดพระธรรมกาย ไม่ได้เป็นเอกเทศ และไม่ได้ปกครองตนเอง เพราะเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และให้ความร่วมมือกับราชการด้วยดีตลอด 3 ปีที่ผ่าน รวมทั้งเมื่อมี ม.44 แม้มีความรู้สึกไม่เห็นด้วย และไม่ชอบธรรม แต่ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ไปตรวจ จนปัจจุบัน วัด หลวงพ่อ และบุคคลเกี่ยวข้อง มีข้อกล่าวหา ดังนี้ 3 หมายจับ / 308 คดี / ยึด 6 ประตู / ซีลอายัด 15 อาคาร และในเวลากลางคืนเจ้าหน้าที่ขับรถนำกำลังเข้าออกทั่วบริเวณ พื้นที่ 2,000 ไร่ ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น วัดพระธรรมกาย ยังคงอยู่ภายใต้กฏหมายมาโดยตลอด
                
2.มีการกล่าวว่า ไม่สนใจว่า จะจับหลวงพ่อธัมมชโย ได้หรือไม่ แต่ต้องทำตามหมายค้นของศาล นั้น  ตลอด 3 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ตำรวจ ทหาร สนธิกำลังในการปฏิบัติภารกิจนี้เป็นขั้นเป็นตอน เข้าไปตรวจทุกพื้นที่ ทุกอาคาร ทุกชั้น ทุกห้อง มีการตรวจค้นอย่างละเอียด และ “ไม่พบ” หลวงพ่อธัมมชโย ทุกภารกิจเป็นไปด้วยความเข้าใจอันดีระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ วัด และสื่อมวลชน แต่พอวันที่ 4 กลับใช้มาตรการรุนแรง ด้วยการประกาศคัดแยกพระและประชาชน และให้ออกจากวัดภายใน บ่าย 3 ของวันที่ 19 ก.พ. สร้างความตื่นตระหนกให้กับลูกศิษย์หลวงพ่อธัมมชโย ทั้งพระ เณร ประชาชนจากทั่วประเทศ และประกาศให้พระ 14 รูป ไปรายงานตัวอีกครั้ง ทั้งที่ได้เคยไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้วนั้น อีกทั้ง ผู้ที่ไปรายงานแล้วทั้งหมด ก็ยังอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมพิเศษของ DSI ดังนั้น การบีบคั้นของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการเร่งเร้าให้คนจากทั่วประเทศเข้ามาวัดพระธรรมกายด้วยประกาศของเจ้าหน้าที่เอง
                 
3. รัฐบาลกล่าวว่า ไม่ได้กดขี่ทางวัด แต่ความจริงที่ปรากฏ
3.1 มีเจ้าหน้าที่รัฐในเครื่องแบบบางรายโพสต์เกี่ยวกับการมาใช้วัตถุระเบิดในภารกิจนี้
3.2 เจ้าหน้าที่รัฐในเครื่องแบบบางรายโพสต์ข้อความหยาบคาย มาสุภาพ ไม่เคารพในพระรัตนตรัย  
3.3 มีการนำเฮลิคอปเตอร์มาบินวนรอบวัด ในระดับต่ำ จนเกิดความไม่สบายใจของสาธุชน
3.4 มีข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และปรากฎเห็นว่า มีการเตรียมใช้แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำความแรงสูง รถอุปกรณ์ความเข้มข้นเสียงสูงมาใช้กับพระสงฆ์และประชาชนภายในวัด
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ประชาชนภายในวัด ไม่ใช่ม็อบ แต่เป็น "นักปฏิบัติธรรม" ที่เข้าวัดกันมากว่า 10-50 ปี แล้ว เป็นโยมพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของพระเณรในวัด  จึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่อย่าใช้ความรุนแรง กับพระสงฆ์ สามเณร และประชาชนที่มาปฏิบัติธรรมเลย
                    
4.เหตุปะทะ ช่วงสายวันที่ 20 ก.พ. 2560 เพียงแค่ทางพระขอให้เจ้าหน้าที่เปิดทางให้สาธุชนที่ออกไปทานข้าว ได้กลับเข้ามาปฏิบัติธรรม แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีกำลังมากกว่า 2-3 เท่า ใช้ความรุนแรงจนเป็นเหตุให้ มีบาดเจ็บหลายราย พบผู้ป่วยดังนี้
1.ผู้หญิง อายุ 63 ปี โดนล้มทับและโดนเหยียบ บาดเจ็บสาหัส กระดูกซี่โครงซ้าย1 ถึง 6 หัก  กระดูก ไหปลาร้าข้างซ้ายหัก รอยฟกช้ำทีใบหน้าและจมูก และมีคราบเลือดที่หูขวา ส่งรพ.ประชาธิปัตย์ Diagnosis Multiple fracture ribs and lt.clavicle contusion right cheek and nose
2. ผู้หญิง อายุ ๗๐ปี มีอาการเจ็บหน้าอก ทั้งสองข้าง มีแผลถลอกข้อศอกซ้าย 2 เซ็นติเมตร  รพ.ประชาธิปัตย์เอกเรย์ปอดแล้วปกติ แจ้งว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ให้กลับได้
3. ผู้ชายอายุ 55 ปี โดนเหยียบทั้งตัว มีเลือดออกในนัยตาขาว
Diagnosis Subconjunctiva hemorrhage left eye and contusion left arm
4.ผู้หญิง 1 ราย โดนเหยียบเท้า Diagnosis Contusion left foot
5.ผู้ชาย อายุ 55ปี โดนครื่องชอร์ตไฟฟ้าบริเวณหน้าอก ล้มลง รู้ตัว เจ็บข้อนิ้วเท้าขวา จากการกระแทก Diagnosis Contusion
6.ผู้ชาย อายุ 37ปี เจ็บเอวซ้ายจากการกระแทกไม่มีรอยบาดแผล
7.พระ 1 รูป อายุ 41ปี บาดเจ็บจากการกระแทก เจ็บขาทั้ง 2 ข้าง แขนบวมช้ำ มีบาดแผลถลอกที่หลัง Diagnosis abrasion wound left heel ecchymosis at back and left arm
และ ยังมี ผู้ได้บาดเจ็บเล็กน้อยอีกหลายรายที่ไม่ได้มารับการทำแผลที่จุดปฐมพยาบาล
  5.กรณีท่านกล่าวว่า บุคคลบางกลุ่มระบุว่า ทำอะไรไม่ได้สักที หรือบางกลุ่มวิจารณ์ว่ารังแกพระนั้น ขอชี้แจงว่า ในส่วนของวัดและลูกศิษย์ มองว่า รัฐดำเนินมาตราการต่างๆมากไปด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบัน วัด หลวงพ่อ และบุคคลเกี่ยวข้อง มีข้อกล่าวหา 3 หมายจับ / 308 คดี / ยึด 4 ประตู (เนื่องจากประตู 5-6 ขอใช้สัญจรเป็นประจำทุกวัน ระหว่างพื้นที่ 130 ไร่ และ 2,000ไร่) / ซีลอายัด 15 อาคาร และเจ้าหน้าที่ก็ยังนำกำลังกว่า 4,800 นาย มาล้อมวัด และเข้าออกพื้นที่ 2,000 ไร่ รวมทั้ง ตรวจค้นกุฏิพระทุกหลัง ได้ตามสบาย เหล่านี้ล้วนเป็นการก้าวล่วงสิทธิส่วนบุคคลของวัดพระธรรมกาย มูลนิธิ


ธรรมกาย พระภิกษุสามเณร และศรัทธาสาธุชนที่สร้างวัด แต่เพื่อแสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ของวัด จึงให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดมา
 ดังนั้ัน ม.44 ก็เป็นมาตรการหนักมากที่รัฐบาลได้ทำแล้ว

เมื่อค้นแล้วไม่พบ ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
จึงขอความกรุณาและข้อความเมตตา รัฐบาล และ คสช. ได้ยกเลิก ม.44 เพื่อให้พระภิกษุสามเณร ได้ปฏิบัติศาสนกิจ และให้ประชาชนได้ปฏิบัติ ธรรมตามปกติ  ต่อไป

https://www.facebook.com/sanitwong/posts/10202864800496353
                  

ผมไม่ใช่ 'หมาป่า' !
ใครไม่ชอบธรรมกาย โปรดอ่านให้จบ

*********
มองสถานการณ์ที่รัฐใช้ ม.44 เข้าจัดการกับมวลชนวัดพระธรรมกายแล้วแปลกใจ ว่ามันจำเป็นต้องใช้ ม.44 จริง ๆ หรือ รัฐประกาศปาว ๆ ว่าให้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่มองดูด้วยใจเป็นกลาง เห็นว่าวัดก็เล่นตามกฎหมายเหมือนกัน จะผิดจะถูกอย่างไรไม่ทราบ แต่ต่างฝ่ายต่างใช้กฎหมายที่ให้สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคกับทุกคน

แต่ในที่สุด รัฐเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่ใช้กฎหมายเอง เพราะอะไร เพราะใช้แล้วทำอะไรเขาไม่ได้ จึงต้องงัดกฎหมายที่มันไม่ใช่กฎหมาย เพราะเป็นกฎหมายที่ว่าเองเออเอง อย่าง ม.44 มาใช้
ทุกวันนี้รัฐก็คุมทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าต่อกร วัดพระธรรมกายแม้ใหญ่ มีคนมาก แต่ก็เป็นวัดในพุทธศาสนา จะทำผิดบ้าบออะไรอย่างที่รัฐว่ามา แต่สุดท้ายหลักฐานอ่อน เจ้าหน้าที่หมดปัญญา ทำอะไรเขาไม่ได้ซึ่ง ๆ หน้า ก็วกไปหากฎกูที่ตั้งขึ้นมาสนองตัณหาและความบ้าอำนาจของตัวเอง คือ ม.44
จากนั้นก็พร่ำอ้างกฎหมายของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ที่ตัวเองเคยพร่ำพูดว่ามี
ณ วันนี้ เวลานี้ ตำรวจ ทหาร กองกำลังทุกด้านเกือบ 5,000 คน มุ่งหน้ามาวัดพระธรรมกาย มาเพื่ออะไร ?
จับพระ 1 รูป ที่เจ้าหน้าที่หาหลักฐานเอาผิดไม่ได้ ด้วยกำลังพลหลายพันนายรัฐทุ่มงบประมาณมากขนาดนี้มาเพื่อหวังอะไร ?
ตลอด 3 วันตามที่ติดตามข่าวสารมา ตำรวจค้นทุกซอกทุกมุมของวัดแล้ว แต่ไม่เจอตัว คนค้นก็เซ็นรับรองว่าไม่เจอคน ไม่เจอของผิดกฎหมาย ไม่มีอาวุธ ไม่มียาเสพติด แต่อยู่ดี ๆ วันนี้จะบังคับให้พระ เณร คนทั้งวัดออกจากวัดไป...เพื่ออะไรอีกครับ

ผมมีความเห็นว่า รัฐใช้อำนาจตามใจมากเกินไปแล้วละ คุณเหิมเกริมมากไปแล้วละ และย่ามใจมากไปด้วย คุณทำตัวเหมือนเรื่อง "หมาป่ากับลูกแกะ" เมื่อแกะไม่ผิด แต่ฉันว่าผิด แกก็ต้องผิด
ประเทศนี้เมืองพุทธ ต่อให้ไม่ชอบวัดนี้ขนาดไหน แต่สำหรับความเป็นมนุษย์ ที่มีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่ากัน
ผมว่ารัฐล้ำเส้นมามากเกินไป เกินจนกู่ไม่กลับ
ผลสุดท้ายคืออะไร เมื่อคุณบุกเข้าไป วัดคงต้านไม่ได้หรอก การบาดเจ็บ ล้มตาย ความสูญเสียก็ตามมา จากนั้นคุณเข้ายึดวัด เข้าไปตรวจค้นโดยมีแต่คนของรัฐ คุณหาตัวคนไม่เจออีก ไม่เจออะไรเหมือนครั้งแรก แต่คุณคงถอยออกมามือเปล่าไม่ได้ คราวนี้คุณก็จะใช้นิสัยหมาป่าของคุณมาบอกว่าลูกแกะผิดอยู่ดี ผ่านสื่อเอียง ๆ หรือเครื่องมืออะไรที่คุณมี เพราะคุณทำแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว ผมเห็น คนอื่นก็เห็น แต่ไม่กล้า และกลัวที่จะพูด
คุณว่านี่คือความยุติธรรมที่รัฐมอบให้ประชาชนหรือ
คนที่สะใจที่กำจัดวัดที่ตัวไม่ชอบได้คงดีใจบนกองน้ำตาของเพื่อนร่วมชาติ ชาวพุทธด้วยกันที่บาดเจ็บล้มตาย

แต่ถามจริง ๆ มันต้องด้วยวิธีอย่างนี้หรือ ?
นี่คือความถูกต้องหรือ ?
รัฐบาล คุณได้อะไรจากการกระทำนี้หรือ ?
รักษากฎหมายหรือ ? ทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์หรือ ?
นึ่คือสิ่งที่คนไทยสะใจอยากเห็นใช่ไหมครับ
ผมคนหนึ่งละที่ไม่เอาด้วย ผมไม่ใช่หมาป่า ผมเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีใจสูงพอจะแยกแยะระหว่างอารมณ์ชอบ-เกลียดชัง กับความถูกต้องที่ควรเป็น
ผมเลือกยืนบนความถูกต้อง แม้กับคนที่ผมเกลียด
เพราะถ้าคนที่ผมเกลียดถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้องได้
วันหนึ่งผมคงถูกกระทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน
และรัฐ คุณก็เหมือนกัน วันหนึ่งที่หมดอำนาจ คุณก็อาจถูกคนอื่นกระทำเช่นเดียวกับที่คุณทำคนอื่น
แล้วคุณก็จะรู้สึกแบบที่ผม ซึ่งเป็นคนไทย คนพุทธคนหนึ่งกำลังรู้สึกอยู่

-คมความคิด-

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รวบรวมที่มา เเละประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคดีของวัดพระธรรมกาย ตั้งเเต่เริ่มเป็นข่าว จนผ่านมาถึงวันนี้เกือบขวบปี ออกมาเป็นผังเวลา
เเต่ละช่วง เเต่ละข้อหา พร้อมประเด็นวิเคราะห์ ตอบคำถาม ในประเด็นที่สังคมสงสัย เพราะไม่ใช่เเค่ข่าวจะจับพระสึก ปิดวัด เเบบธรรมดา เเต่มีการวางเเผน เตรียมการมาอย่างยาวนาน จะเป็นโมเดลพุทธศึกษาที่เปิดโลกประชาชนได้รับทราบถึงระบบกฏหมายไทย กฏหมายสงฆ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี




เเหล่งอ้างอิง:เพจน้องเเสนดี


วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


หลังจาก มาตรา 44 ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการ มาทำความรู้จักกับมาตรา 44 ในแบบฉบับง่ายๆ ว่ามีอะไรบ้าง
มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 กับการประการใช้แทน กฎอัยการศึก เมื่อค่ำของวันที่ 1 เมษายน 2558 และมีผลบังคับใช้ทันที สาระสำคัญมีอะไรบ้างนั้นมาดูเพื่อทำความเข้าใจให้ง่ายขึ้น  
"มาตรา 44" กับ "กฎอัยการศึก" จากภาพรวมค่อนข้างเหมือนกันแต่จะแตกต่างในทางรายละเอียด ตรงที่ กฎอัยการศึก มีบทบัญญัติที่ชัดเจน แต่มาตรา 44 ขอบเขตอำนาจนั้นกว้างกว่า ในเรื่องของอำนาจ กฎอัยการศึก ให้อำนาจแก่ทหาร แต่ มาตรา 44 มีอำนาจทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
ความเหมือนคือ ยังคงห้ามไม่ให้ชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนเช่นเดิม
นอกจากนี้ ทุกการกระทำของ คสช. จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและไม่ต้องรับโทษใดๆ ตามที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดการบังคับใช้มาตรา 44 โดยมีรายละเอียดดังนี้
ใครบ้างที่มีอำนาจหน้าที่ภายใต้มาตรา 44 ?
มาตรา 44 ระบุว่า "ข้าราชการทหาร" ตั้งแต่ยศร้อยตรี,เรือตรี หรือ เรืออากาศตรี เป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย และยศต่ำกว่านี้เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย โดยกฎหมายระบุให้เจ้าหน้าที่ทหารเป็นพนักงานฝ่ายปกครองได้ในคราวเดียวกัน มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
การฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งของ คสช. ถือเป็นความผิด
ทั้งนี้ มาตรา 44 ได้มอบอำนาจให้กับข้าราชการทหาร ในการปราบปรามการกระทำผิดที่ระบุไว้ข้างต้น ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1). เรียกให้มารายงานตัว ส่งมอบเอกสาร หรือหลักฐาน ที่เกี่ยวกับการกระทำผิดข้างต้น ในกรณีที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น มาตรา 44 กำหนดให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจกักตัวบุคคลดังกล่าวไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน ในที่ที่ไม่ใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง หรือเรือนจำ
ทั้งนี้ การขึ้นศาลทหาร จำกัดไว้เพียงบุคคลที่กระทำผิดต่อความมั่นคงของประเทศเท่านั้น 
2). จับกุมได้ทันทีเมื่อทำความผิดข้างต้นแบบซึ่งหน้า และนำส่งเจ้าพนักงานสืบสวนให้ดำเนินการต่อไป
3). มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าไปร่วมสืบสวน โดยให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นพนักงานสอบสวนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
4). ตรวจค้นตัวบุคคล ที่อยู่อาศัย หรือยานพาหนะของบุคคลใดก็ตามที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดที่ได้ระบุไว้ข้างต้น โดยไม่ต้องขอหมายค้นจากศาล
5). เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์ที่พบจากข้อ 4
6). เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจทุกประการ หาก คสช. มอบหมายให้ทำ หรือก็คือมีอำนาจหน้าที่แบบครอบจักรวาลนั่นเอง
มาตรา 44 ยังระบุว่า คสช. มีอำนาจออกคำสั่งห้ามสื่อนำเสนอ ข่าวอะไรก็ตามที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ภายใต้อำนาจนี้ สื่อที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อาจจะมีความผิดตามกฎหมายได้ หาก คสช. เห็นว่าส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของขาติ

นอกจากนี้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ถือเป็นความผิดตามมาตรา 44 มีโทษจำคุก และปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
เเหล่งข้อมูล: Sanook http://news.sanook.com/1773902/

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สำนักข่าวไทย 17 ก.พ.- แพทย์ ยันเครื่อง Hyperbaric Chamber  ไม่ใช่เครื่องเบบี้เฟซ หรือทำให้ผิวพรรณ ใบหน้ากระจ่างใสได้ เพียงแต่ใช้เพิ่มความดันของออกซิเจน ในการรักษาโรคน้ำหนีบ และยังสามารถใช้รักษาแผลเบาหวาน ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าสะดวกขึ้น

นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบเครื่อง  Hyperbaric Chamber ในห้องพักฟื้นของพระธัมมชโย ภายในวัดพระธรรมกาย ว่า เครื่องดังกล่าว จัดเป็นเครื่องเพิ่มความดันอากาศสูงที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณออกซิเจนเพื่อให้เนื้อเยื่อที่มีบาดแผลได้ซึมซับออกซิเจนมากขึ้น ตามปกติเครื่องมือแพทย์ชนิดนี้ ใช้ในการรักษา โรคน้ำหนีบ หรือ น็อกน้ำสำหรับคนที่ดำน้ำลึก จนมีแก๊สในร่างกายสูง  และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาผลอาการข้างเคียงจากแผลของโรคเบาหวานได้ด้วย ช่วยทำให้ปัญหาเลือดเลี้ยง บาดแผลตามปลายมือปลายเท้าไม่สะดวกมีความคล่องตัวมากขึ้น เมื่อมีออกซิเจนช่วยนำไป โดยระยะเวลาการใช้เครื่องมือแพทย์ชนิดนี้ ต้องอยู่ในการกำกับดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และมีการกำจัดระยะเวลาการใช้
นพ.ฉันชาย กล่าวว่า การรักษาบาดแผลเบาหวาน ด้วยเครื่องมือแพทย์ชนิดนี้ ไม่ได้ทำให้เท้าหรือมือหายเน่า แต่ทำให้ความรุนแรงของบาดแผลทุเลาลง ด้วยออกซิเจนและการใช้ออกซิเจนจากเครื่อง Hyperbaric Chamber นี้ ไม่เคยข้อมูลทางการแพทย์ปรากฏผลข้างเคียงว่า จะช่วยให้ผิวพรรณ ทั้งใบหน้า และลำตัวกระจ่างใสขึ้น  ในทางตรงกันข้าม การรับออกซิเจนมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองและทุกครั้งของการใช้รักษาต้องอยู่ในการควบคู่ดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่สามารถใช้เครื่องมือแพทย์ได้ตามลำพัง

นพ.ฉันชาย กล่าวอีกว่าสำหรับเครื่อง Hyperbaric Chamber นั้น ปัจจุบัน มักอยู่ในสถานพยาบาลแบบเฉพาะทาง เช่น รพ.ในสังกัดกองทัพเรือ หรือ โรงพยาบาลปฐมภูมิ ที่มีความจำเพาะในการใช้เครื่องมือชนิดนี้ เท่านั้น คนทั่วไป ไม่สามารถซื้อหาเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางมาใช้ได้ .
เเหล่งอ้างอิง  http://www.tnamcot.com/content/657859
สำนักข่าวไทย

ธรรมกายถูกบีบบังคับให้เดินมาถึงจุด  ที่ไม่สามารถถอยได้อีกแล้วการถอยของธรรมกายหมายถึงความจบสิ้นทุกอย่าง ที่ช่วยกันสร้างมาร่วม
ครึ่งศตวรรษ 
แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าเจ็บปวดก็คือ
จากคดีเลื่อนลอยที่ไร้เจ้าทุกข์   เพียงคดีเดียว  มาตอนนี้พื้นที่อันกว้างขวาง
ของวัดพระธรรมกายทั้งหมด  แทบไม่พอสำหรับเก็บคดีแล้ว

ถ้าธรรมกายถอยหลังหมายถึงยกวัดทั้งวัดให้เขาไปเรียบร้อยแล้วแต่
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ  มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงมากที่พระทั้งหมดในวัดจะถูกจับสึก

ด้วยข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาแล้วไม่ให้ประ
กันตัวก็ต้องถูกจับสึกโดยไม่ต้องสงสัย
ยิ่งพิจารณา  ก็ยิ่งมองเห็นภาพชัดเจน
เป้าหมายแท้จริง  ไม่ได้อยู่ที่หลวงพ่อแค่รูปเดียว แต่อยู่ที่ทั้งวัดทั้งทรัพย์สิน
และบุคลากร ของวัดทั้งหมด โดยรวมก็หมายถึงพุทธศาสนานั่นเอง

ถ้าเป้าหมายอยู่ที่หลวงพ่อรูปเดียว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายการเข้าไป
แจ้งข้อหากับท่านในวัด ตั้งแต่ตอนต้นคดีก็เข้าสู่กระบวนการเรียบร้อยแล้ว

แต่เพราะไม่ได้อยู่ที่หลวงพ่อรูปเดียวจึงเลี่ยงไม่ไป  แจ้งข้อกล่าวหาที่ในวัดเพื่อสร้างเรื่องราวให้บานปลาย
ถ้าพูดถึงการรบ ไม่ได้ต้องการแค่การเด็ดหัวผู้นำ  
แต่ต้องการยึดเมืองและกำจัดประชาชนทุกคนที่อยู่ในเมืองไม่
ให้เหลือเผ่าพันธ์สืบทอดอีกต่อไป
ถ้ามองในมุมนี้จะเห็นภาพชัดเจน
มิได้แค่ต้องการกำจัดวัดพระธรรมกาย
เท่านั้นแต่ต้องการทำลายพุทธศาสนา
ในประเทศไทยด้วย
  แผนสกปรกมาก
การยื้อเรื่องราวให้ใหญ่โตยาวนาน
ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง

เพื่อให้สื่อสีเทามีพื้นที่ข่าว  ในการทำลายศาสนาพุทธ โดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
แต่เป้าหมายหลักคงมีเพียง 2 อย่าง
1.ถอนรากถอนโคน  วัดพระธรรมกาย
ด้วยการกำจัดบุคลากรทั้งหมดของวัด
เพื่อบั่นทอนกำลังหลักพุทธศาสนา

2.ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของวัด  เฉพาะ
ทองคำก็ 8ตันแล้วถ้านับรวมทรัพย์สิน
อย่างอื่นอีกไม่รู้กี่แสนล้าน

#ธรรมกายถูกบังคับด้วยเล่ห์เพทุบาย
ให้เดินทางถึงจุดที่ถอยไม่ได้แล้ว   ถ้า
ถอยหมายถึงการสูญสิ้นหมดทุกอย่าง
ทั้งวัดและอิสรภาพ

เเล้วอย่างนี้ ยังจะวางอุเบกขากันอยู่อีกหรือ????



Cr. เรชุงปะ ศิวโมกข์

ถ้าดีเอสไอไม่บุกวัดพระธรรมกายวันนี้ คงไม่รู้ว่า รัฐธรรมนูญปี 2559 คือ รธน. ฉบับแอบแฝง ม.44 ในรูปแบบของมาตรา 31 และ 67 ไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สองมาตรานี้เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและพระพุทธศาสนาอย่างมาก
ลองคิดดูว่า ม.44 ที่ใช้อำนาจชั่วคราว ยังน่ากลัวขนาดนี้ เพราะมีอำนาจยิ่งกว่าศาลทุกศาลในประเทศนี้รวมกัน สามารถทำ "คดีธรรมดา" ให้เป็น "คดีภัยความมั่นคงของชาติ" ได้
สามารถสั่งระดมกำลังตำรวจทหาร 3,000 นาย เพื่อจับพระป่วย 1 รูปได้
ถ้า ม.44 แบบอำนาจชั่วคราว กลายเป็นอำนาจถาวรอยู่ในรูปแบบของมาตรา 31 และมาตรา 67 ในรัฐธรรมนูญใหม่ จะกลายเป็น ม.44 ที่มีอำนาจน่ากลัวขนาดไหน เพราะมีอำนาจรัฐธรรมนูญรองรับและห้ามแก้ไขตลอดไปขึ้นมาทันที
รัฐบาลสามารถใช้อำนาจรัฐธรรมนูญกล่าวหาคดีเล็กๆ ให้กลายเป็นคดีภัยความมั่นคงของชาติได้ทันที
มาตรา 31 ยัดเยียดข้อหาภัยต่อความมั่นคงของชาติได้
มาตรา 67 ยัดเยียดภัยต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาได้

ซึ่งทั้งสองข้อหานี้ ประชาชนไม่มีทางต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์และความเป็นธรรมให้แก่ตัวเองได้เลย
ยิ่งได้ข่าวว่ารัฐบาลจะทูลเกล้าถวายให้ในหลวงรัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ รธน. 2559 ในวันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2560 นี้แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเป็นห่วงชีวิตและความปลอดภัยต่อประชาชนและพระพุทธศาสนาในอนาคตเป็นอย่างมาก
เพราะมาตรา 31 เเละ มาตรา 67 มีค่าเท่ากับ ม.44 ที่มีอำนาจถาวรห้ามแก้ไขอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559
นี่คือสิ่งที่คนไทยคงยังไม่รู้ ถ้าไม่มีใช้ ม.44 สั่งบุกวัดพระธรรมกาย เปลี่ยนให้คดีเล็กๆ กลายเป็นคดีความมั่นคงของชาติ ใช้กำลังตำรวจทหาร 3,000 นาย เพื่อจับพระป่วย 1 รูป อย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำมาก่อน จนชื่อเสียงประเทศวอดวายเป็นที่อับอายไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
---------------------------------------------------------------
16 กุมภาพันธ์ 2560

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การผสมปูนสมัยนั้นรถโม่ตัวใหญ่ๆ หลวงพี่ไม่ใช้เลย
หลวงพี่ใช้โม่เล็กจำนวน 4 ตัว  โม่ตัวเล็กๆนี้เองช่วยให้ได้คุณภาพอย่างที่ต้องการ  ที่หลวงพี่ไม่ใช้โม่ตัวใหญ่เพราะว่าเป็นการผสมเเบบสำเร็จรูป ทำให้ความสะอาดไม่ได้ตามมาตราฐานของเรา
คุณภาพของหินของทราย สู้ที่เราไปเลือกมาเองไม่ได้

หินที่ใช้สร้างโบสถ์ต้องไปเลือกถึงโรงโม่หินที่สระบุรี หินจาก 20 กว่าโรง มีอยู่โรงหนึ่งที่เป็นหินตรงตามที่เราต้องการ คือมีความสะอาด ไม่มีลูกรัง  ไม่มีหินผุ ไม่มีรากไม้ หินของเจ้านี้ใช่ จึงเลือกใช้หินจากโรงโม่เเห่งนี้
   ทรายที่จะใช้ก็เช่นเดียวกัน ต้องไปเสาะหาคัดเลือก เดินทางไปกาญจนบุรีจะมีท่าทราย บ่อทรายตลอดเส้นทางถึง 20 กว่าเเห่ง ดูความสะอาดของทราย ดูลักษณะรูปร่างของเม็ดทรายว่าสวยไม่สวย ก็ยังไม่เจอทรายที่ต้องการ ต้องเดินทางผ่านเข้าไปในเมือง ทะลุออกไปอีกไกลจนไปเจอทรายที่ต้องการ ทั้งสะอาดเเละเม็ดทรายสวย นึกถึงคำพูดที่บอกว่าผู้หญิงสวย ผู้ชายสวย เราพอจะทราบว่าเป็นอย่างไรเเต่พอบอกว่าเม็ดทรายสวย คนส่วนใหญ่ดูไม่เป็น เเต่เราดูเป็นเพราะเราจับทรายสวยๆ เหล่านั้นมากับมือ หินสวยๆก็เช่นกัน
    ทรายที่สวยๆเม็ดทรายจะมีคมเป็นสี่เหลี่ยมเเละมีความหยาบในระดับหนึ่ง ทรายที่สะอาดต้องไม่มีเปลือกหอย ไม่มีพวกสิ่งสกปรก พวกใบไม้ หรือกิ่งไม้ผสมมาด้วย
เมื่อเอาน้ำไหลผ่านทราย น้ำก็จะสะอาดไม่เป็นโคลน ถ้าเอามือช้อนทรายขึ้นมาถูกันเเล้วปล่อย ทรายจะต้องไม่ติดมือเเละจะต้องไม่มีโคลนติดอยู่ที่มือด้วย ถ้าทรายมีขี้โคลนพอถูเเล้ว ทรายจะยังติดมือ เลยไม่ยอมหล่น  น้ำที่เราใช้ผสมคอนกรีตเป็นน้ำบาดาลของเรา เป็นน้ำที่ดื่มได้ หินสะอาด ทรายสะอาด น้ำสะอาด ปูนซีเมนต์ละลายน้ำเเล้วจะเคลือบหินได้รอบด้าน หินต้องเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหรือต้องมีลักษณะกลม ถ้าหินยาวๆหักง่ายรับเเรงหน่อยก็หักล้าง เมื่อผสมปูนเข้าไปในสัดส่วนที่พอดีเเล้ว หินกับทรายจะถูกเคลือบด้วยปูน ถ้ามีดินเข้าไปอยู่ในหินในทราย เวลาปูนเข้าไปก็จะจับไม่ถูกเม็ดทราย จับไม่ถูกเม็ดหิน เเต่ไปจับติดโคลน ฉะนั้นเวลารับเเรง พวกขี้โคลนที่ปูนซีเมนต์หุ้มอยู่จะร่อนออก ทำให้งานของเราไม่เเข็งเเรง
  นอกจากความสะอาดเเล้ว ยังมีเรื่องส่วนผสมด้วย หินใหญ่เป็นก้อนๆพอมารวมกัน เเละเเต่ละก้อนมีช่องว่างอยู่ ช่องว่างใหญ่ๆเราต้องเอาหินเล็กหน่อยใส่ลงไป เเล้วจากหินเล็กที่เเทรกในหินใหญ่ก็ยังมีช่องว่างที่ขนาดเล็กๆอีก  คราวนี้เราก็จะเอาทรายใส่ลงไปในนั้น ฉะนั้นใส่ทุกอย่าง ใส่ให้เเน่น ไม่ให้มีช่องว่าง ไม่ให้มีฟองอากาศ โดยใช้ไม้กระทุ้ง ใช้เหล็กกระทุ้งให้เเน่น เพื่อไล่อากาศออก ปัจจุบันทันสมัยหน่อยจะใช้เครื่องมือจี้ลงไปเเล้วมันจะสั่น
   การจี้ก็ต้องพอดี จี้มากไปก็ไม่ได้ จี้น้อยไปก็ไม่ได้ ดังนั้นเวลาเราทำงานต้องทำเป็นทีมเวิร์ค เเบบต้องดี ไม้เเบบช่างเเบบต้องทำให้ดี คนจี้ก็ต้องจี้ให้ดี อย่าจี้ไปเเล้วมีช่องทางให้น้ำปูนไหล ถ้าน้ำปุ่นไหล หินก็มีน้ำปูนมาเคลือบน้อยลง ทรายมีน้ำปูนเลือบน้อยลง ต้องไม่ไหลต้องอุดให้เเน่น
   เวลาฝนตกการเทคอนกรีตต้องเทอีกเเบบหนึ่ง หน้าฝนอากาศมันชื้น เวลาผสมในโม่เราต้องลดน้ำ เเล้วเวลาเเดดออกเปรี้ยงๆอย่างตอนบ่ายต้องเทอีกเเบบหนึ่ง ต้องเติมน้ำมากกว่าเดิมเผื่อน้ำระเหย
ต้องคอยพรมน้ำตาม เติมมากก็ไม่ได้ น้อยก็ไม่ดี ตอนกลางคืนไม่มีเเดด ส่วนผสมต้องอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ต้องเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนเเละใส่ความประณีตลงไปด้วย
  ทำการทดสอบ
หลวงพี่นำคอนกรีตไปทำการทดสอบความเเข็งเเรงเป็นร้อยเป็นพันลูก เดินถือไปทดสอบที่คณะวิศวะฯมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีคนนำคอนกรีตที่ทำตึกเเถวมาทดสอบเช่นกัน เขาถือมาหลายลูก เดินสวนกับหลวงพี่ ระหว่างที่เดินสวนกัน คอนกรีตของเขาร่วงลงพื้นเเตกเลย เเค่หล่นก็เเตกเเล้ว ส่วนของหลวงพี่เข้าทำการทดสอบ อัดเเรงเครื่องกดไฮดรอลิกส์(Hydraulics)ขนาดร้อยตัน อัดไม่เเตก
จนกระทั่งอาจารย์ที่คุมห้องเเล็ปทดลองบอก"หลวงพี่ครับเครื่องจะพัง ร้อยตันเเล้ว ยังอัดไม่เเตก ผมกลัวเครื่องผมจะพัง งานของหลวงพี่เกินสเป๊คเเล้วครับ"
   ตามทฤษฏีบอกว่า หินต้องสะอาด ทรายต้องสะอาด น้ำต้องสะอาด ปูนซีเมนต์ต้องได้สัดส่วน ทฤษฎีเขาว่าเเบบนี้ เเต่เมื่อปฏิบัติจริง จะไม่ได้ตามทฤษฏี เพราะหินสกปรก ทรายสกปรก น้ำสกปรก ผลงานที่ออกมามันก็เเตกไม่เเข็งเเรง ไม่ได้ตรงตามทฤษฎี
   หลวงพี่ลองนำไปทดสอบต่อที่คณะวิศวะฯของสถาบันเอไอที(AIT) ที่นั่นเขามีเครื่องอัดน้ำหนักขนาด 500 ตัน ถึงจะอัดเเตกวัดผลได้
  คนงานที่ช่วยผสมปูน หลวงพี่ฝึกจนมีความชำนาญ เมื่อบอกภาษาช่างกับเขาว่าต้องการให้ผสมน้ำมากหรือน้อย บอกเเค่ต้องการสลัมฟ์เท่าไหร่(Slump Test เป็นการทดสอบความข้นเหลวของคอนกรีต) เขาก็ผสมให้หลวงพี่ได้ใกล้เคียงมากเลย ซึ่งกว่าจะฝึกคนงานที่ผสมคอนกรีตได้อย่างที่ต้องการก็ไม่ใช่ง่าย ปัจจุบันนี้ต่างคนก็ต่างไปเป็นเถ้าเเก่กันหมดเเล้ว
   ผลงานของเราสูงกว่ามาตราฐานเยอะมากเลย เยอะมากๆอาศัยความสะอาดที่หลวงพี่อเเละคุณยายสอนมาอย่างเดียวไม่ต้องไปซื้อน้ำยาเคมีมาผสมช่วยเลย อาศัยความสะอาดอย่างเดียว
   ดังนั้นถ้าสมมุติว่าจะต้องสร้างโบสถ์อีก หลวงพี่จะไม่ใช้โม่ตัวใหญ่เเบบที่ผสมสำเร็จ หลวงพี่จะใช้โม่ตัวเล็กๆอย่างที่ใช้สร้างโบสถ์นี้ ค่อยๆโม่ทีละโม่  ช้าหน่อยเเต่เราจะได้งานที่มีคุณภาพเเละได้ความปลื้มปิติ ภาคภูมิใจ

เรื่องเล่าจากพระครูปลัดภูเบส ฌานาภิญฺโญ
สโตร์หน้าวัด The Store Story หน้า 130-133
หมายเหตุ:  พระครูปลัดสุวัฒนธีรคุณ (ภูเบศ ฌานาภิญฺโญ)ท่านเป็นผู้หนึ่งในยุคบุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกาย
ปัจจุบันท่านมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโส,เป็นกรรมการมูลนิธิธรรมกาย ,ประธานคณะกรรมการศูนย์กลางธรรมกายเเห่งโลก(WDC) เเละเป็นผู้อำนวยการสำนักสาธารณูปการของวัดพระธรรมกาย








มีคนสงสัยมาถามหลวงพี่ว่า โบสถ์วัดพระธรรมกายไม่มีช่อฟ้าหรือ
ก็เลยชี้ให้เขาดูว่าที่เห็นโค้งสวยงามสองข้างซ้าย ขวา วิ่งสูงขึ้นไปบนฟ้านั่นไง

ช่อฟ้า

ชี้กันขึ้นไปบนฟ้าเป็นช่อๆเลย เเละไม่ใช่มีเเค่หนึ่งเเต่มีถึง 4 ช่อฟ้า
      ในพิธียกช่อฟ้าโบสถ์ของเราไม่ได้มีประธานพิธีมากดอยู่เเค่คนเดียว

คนมาเป็นร้อยๆ ชาวบ้านทั้งนั้นเลยมาช่วยกันยก มาช่วยกันเทปูนช่อฟ้ากันทุกคน
   ตอนนั้นคนที่ทำงานในโรงงานต่างๆพวกเขาหยุดงานกันมาเลย ชาวบ้านเเถวสะพานใหม่ รังสิต
คลองหลวง เขาก็หยุดงานลางานกันมา พ่อค้า เเม่ค้าก็พากันปิดห้างร้าน เพื่อจะมาเทช่อฟ้า
ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เทได้เเค่คนละกระป๋องเท่านั้น

    การเทปูนช่อฟ้าก็จะนั่งบนนั่งร้าน นั่งบนไม้หน้าสามที่ต่อสูงขึ้นไปเป็นเหมือนบันไดทีละขั้นๆ
คนก็ขึ้นไปยืนอยู่เป็นเเถว อยู่ห่างกันเป็นช่วงๆ ช่วงละหนึ่งเเขน รับกระป๋องเเล้วส่งต่อกันขึ้นไป ก็ประมาณสักเมตรครึ่งๆ ราวๆนี้  เเล้วคนที่ส่งขึ้นไปต้องก้าวขึ้นไป ค่อยๆกระเถิบไปทีละขั้นๆ คนที่อยู่ข้างบนสุดเมื่อเทเสร็จก็เดินลงมาอีกทางหนึ่ง คนที่ถัดมา ก็ขึ้นไปบนสุดเเล้วก็เท ก็หมุนเวียนเช่นนี้จนครบหมดทุกคน
ส่วนหลวงพี่มีหน้าที่คอยกำกับอยู่บนนั้น ปีนขึ้นไปข้างบน  เเละการเทเราเททีละช่อ ช่ออื่นก็ทำเเบบเดียวกันหมด
ช่างเหล็กของหลวงพี่ที่ว่าเซียนๆ เกเรมากที่สุดยังมาขอร่วมเทด้วย
"หลวงพี่ครับวันนี้ผมขอเทปูน"
หลวงพี่ก็บอกว่า  "เราเป็นช่างเหล็กน่ะไม่ใช่ช่างปูน"
"ผมขอเทปูนด้วยคนครับ วันนี้ผมไม่ขอรับค่าเเรงครับ ขอให้ผมได้เทปูน"
"ได้ อย่างนั้นเรามาร่วมบุญกัน"
   บนช่อฟ้าโบสถ์วัดเรานี้มีทั้ง เเหวน ทอง สายสร้อยทอง มีทั้งสตางค์ เหรียญบาท เหรียญห้าบาท
ใส่เข้าไปตั้งเยอะ กว่าจะเทได้เเต่ละกระป๋อง โยมยกขึ้นเหนือหัว กว่าจะอธิษฐานจบปูนก็จะเเห้งคากระป๋อง เลยต้องให้อธิษฐานล่วงหน้าไว้ก่อน พอส่งกระป๋องปูนขึ้นไปถึงเเล้วต้องเทเลย
คนหนึ่งเทได้เเค่กระป๋องเดียว พอเทเสร็จ ต้องลงมาต่ออยู่ในเเถว กระป๋องเปล่า เเล้วก็ค่อยๆกระเถิบลงมา หมุนเวียนให้คนที่ยังไม่ได้เทขึ้นไป

เรื่องเล่าจากพระครูปลัดภูเบส ฌานาภิญฺโญ
สโตร์หน้าวัด The Store Story หน้า 130-133
หมายเหตุ:  พระครูปลัดสุวัฒนธีรคุณ (ภูเบศ ฌานาภิญฺโญ)ท่านเป็นผู้หนึ่งในยุคบุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกาย
ปัจจุบันท่านมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโส,เป็นกรรมการมูลนิธิธรรมกาย ,ประธานคณะกรรมการศูนย์กลางธรรมกายเเห่งโลก(WDC) เเละเป็นผู้อำนวยการสำนักสาธารณูปการของวัดพระธรรมกาย



คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget