วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

 


รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมโจรในประเทศอิตาลี

            อิตาลีนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีโจรชุกชุมเเห่งหนึ่งในโลก เเต่ความจริงเเล้วคนเล่ห์มีอยู่ทุกที่ทุกประเทศ เเต่ที่อิตาลีนั้นมีเเรงดึงดูดคนเเบบนี้ให้เข้ามาอยู่อาศัยในมากกว่าที่อื่นๆเท่านนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นการเดินทางในอิตาลีก็ไม่ได้อันตรายจนต้องถึงกับระเเวงไปทุกอย่างจนทำให้เสียบรรยากาศการเที่ยวชมเพียงเเค่ควรรู้ทันความเจ้าเล่ห์ของโจรในประเทศนี้ไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเข้ากับตัวเอง

1.อย่าใช้กระเป๋าเก็บเงินเเบบคาดเอว  อันนี้เหมือนเเปะป้ายประกาศว่า มีอยู่ในนี้ เข้ามาขโมยได้เลย  กระเป๋าเเบบนี้นอกจากจะไม่ปลอดภัยเเล้วยังต้องตาต้องใจโจรอีกเพราะเงินเเละ


ของมีค่าจะอยู่ในนี้ ล้วงทีเดียวได้ครบ ควรเก็บเงินเเยกไว้หลายๆที่มากกว่านำมารวมกันทีเดียว

2.กระเป๋าสตางค์  ถ้าต้องเดินทางโดยรถไฟใต้ดินหรือรถเมล์ที่มีคนเเน่นๆให้นำกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋ากางเกงมาเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่ หรือถ้ายังต้องการเก็บไว้ที่กางเกงให้เอามือล้วงกระเป๋า เเละสัมผัสกระเป๋าสตางค์ไว้ตลอด ส่วนกระเป๋าถือของผู้หญิงนั้นพอเข้าเขตสถานีรถไฟเเล้วให้เอามากอดไว้ข้างหน้า

3.ไม่ควรคุยกับคนเเปลกหน้า หลีกเลี่ยงการพูดคุยกับคนเเปลกหน้าบนรถไฟหรือรถบัส ไม่ควรให้ข้อมูลว่าเราจะเดินทางไปไหน พักที่ไหนกับใครทั้งนั้น ควรระวังการคุยหรือเล่นกับเด็กเนื่องจากมีกลุ่มโจรใช้เด็กน่ารักๆเป็นเหยื่อล่อให้เราตายใจคุยเล่นด้วย เเล้วสมาชิกของกลุ่มก็จะเข้ามาล้วงกระเป๋าขโมยของมีค่าไป

4.การฝากกระเป๋า  ไม่ว่าจะฝากไว้ที่โรงเเรมหรือที่สถานีรถไฟให้นำของมีค่าทุกอย่างออกจากกระเป๋าใหญ่ให้หมด ส่วนใหญ่ตามโรงเเรมมักจะไม่มีคนเฝ้ากระเป๋าตลอดเวลา ส่วนใน


สถานีรถไฟจะมีการกับเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ฝากในล๊อกเกอร์ ดังนั้นโอกาสที่ของมีค่าจะถูกขโมยมีสูง

5.ห้องน้ำ   ตามห้องน้ำในสถานีรถไฟใหญ่ๆจะมีการเก็บเงินค่าใช้บริการ เเล้วก็มีคนหัวใสไปยืนหน้าประตูเพื่อเก็บเงินเรา เเทนที่จะให้หยอดลงประตูอัตโนมัติตามปกติ อันนี้ระวังดีๆอย่าไปยื่นเงินให้เค้า ส่วนตอนขาออกควรระวังคนที่ไม่ยอมจ่ายเงินเดินสวนเข้ามาทางประตูด้วย

6.การซื้อตั๋วรถไฟ อย่าให้คนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่มาบอกข้อมูลเด็ดขาด เพราะพอให้ข้อมูลเรียบร้อยเค้าก็จะเเบมือขอเงินทันที ถ้าไม่เข้าใจหรือต้องการความช่วยเหลือให้ไปหาเจ้าหน้าที่
ของทางการที่ใส่เสื้อสัญลักษณ์ของการรถไฟเเทน เจ้าหน้าที่ทุกคนน่ารักใส่ใจนักท่องเที่ยวมากๆ ไม่ต้องกลัวเวลาไปขอความช่วยเหลือ

7.อย่าให้ตั๋วรถบัสหรือรถใต้ดินกับคนเเปลกหน้า  ที่ด้านหน้าสถานบางเเห่งจะมีคนมายืนขอตั๋วรถที่ใช้เเล้ว เนื่องจากในอิตาลีส่วนใหญ่บัตรทุกอย่างจะมีเวลาใช้งาน 90 นาที สามารถเอาไปใช้ต่อได้ภายในเวลานั้นๆควรปฏิเสธไปอย่างสุภาพเเล้วเดินออกมาเพราะเป็นสิทธิ์ของเราที่จะเก็บตั๋วเอาไว้

8.ตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ อย่ายื่นตั๋วให้ใครเเบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะบางเเห่งมีคนเเต่งตัวดีๆ ดูเหมือนเจ้าหน้าที่มานั่งรอตรวจตั๋วเเล้วยึดเอาตั๋วไปใช้เองหรือนำไปขายต่อ ปกติเจ้าหน้าท่ตัวจริงจะเเค่ฉีกบัตรออกหรือ สเเกนบาร์โค้ดกับคอมพิวเตอร์เเล้วคืนตั๋วให้เรา

9.วิธิหาเงินเเบบคลาสิกตามจตุรัสใหญ่ๆ  ปกติตามเเหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆจะมีคนมาดักรอนักท่องเที่ยวเเล้วพยายามยัดเยียดขายของให้ เช่น ที่ผูกข้อมือ  กุหลาบ ไม้ถ่ายรูปเซลฟี่  ข้าวโพดสำหรับนกพิราบ  ร่มหรือผ้ากันฝนยามฝนตก ถ้าไม่ต้องการก็ปฏิเสธไปเเละไม่ควรรับสินค้าใดๆมาดู

10.ขอทาน  ไม่ควรให้เงินขอทานด้วยประการทั้งปวง เเม้ว่าเขาจะนั่งขออยู่ที่หน้าโบสถ์ก็ตาม (ถ้าอยากทำบุญให้ทำบุญในตู้บริจาคที่โบสถ์โดยตรง) อิตาลีมีสวัสดิการสังคมที่จ่ายเงินให้กับคนที่ไม่มีงานทำอยู่เเล้ว ส่วนคนที่มาขอทานมักจะเข้าเมืองมาโดยผิดกฏหมายดังนั้นเราไม่ควรไปสนับสนุนโดยการบริจาคให้เขา



เเหล่งข้อมูล  อิตาลี โดยโรส มธุรส





เลโอนาร์โด ดา วินชี เกิดเมื่อปี ค.ศ.1452 เป็นบุตรนอกสมรสของ Piero di Antonio เเห่งเมืองวินชี เลโอนาร์โดจึงเป็นที่รู้จักกันเต็มๆว่า Leonardo di Piero da Vinci ( เเปลว่าเลโอนาร์โด ผู้เป็นบุตรชายของปิเอโตรเเห่งเมืองวินชี) เขาได้รับการศึกษาอย่างดีในช่วงวัยเยาว์ ชอบสังเกตธรรมชาติเเละสพรรพสัตว์ รวมทั้งเรื่องขีดๆ เขียนๆด้วยตัวเอง จนบิดาเห็นพรสวรรค์จึงส่งให้ไปเรียนวาดรูปกับ Verrocchio ผู้เป็นศีลปินที่โด่งดังในเมืองฟลอเรนซ์ ที่นี่เองที่เลโอนาร์โดได้พัฒนาฝีมือด้านการวาดภาพ เเละลงสี จนทำให้ผู้เป็นอาจารย์ถึงกับทึ่งในความสามารถจนประกาศว่าจะไม่วาดรูปอีกเลย (ไปดูรูป The Baptism of Christ ได้ที่พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี่ในเมืองฟลอเรนซ์ จะเห็นว่าเทวดาองค์น้อยด้านซ้ายที่วาดโดยเลโอนาร์โดนั้นงดงามสมจริงกว่าพระเยซูที่วาดโดย Verrocchio เสียอีก)
เลโอนาร์โดได้ให้ความสนใจในเรื่องกายวิภาคศาสตร์มากจนถึงกับทำการผ่าศพเพื่อศึกษาเรื่องกล้ามเนื้อ เเละการทำงานของอวัยวะต่างๆ มีภาพร่างมากกว่าพันรูปเกี่ยวกับสระระของมนุษย์ เเละสัตว์ โดยภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือภาพวิทรูเวียนเเมน (Vitruvian Man )ที่เเสดงความสมส่วนของร่างกายมนุษย์เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์เเบบ

ในเรื่องการทำงานนั้นเลโอนาร์โดได้เข้าไปทำงานให้กับตระกูลเมดีซี่เเห่งเมืองฟลอเรนซ์อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ย้ายไปเมืองมิลานให้กับดยุก Ludovico Sforza เเห่งตระกูล Sforza ผู้ครองเมือง ที่นี่เองที่เขาได้รับงานต่างๆมากมาย ที่โดดเด่นที่สุดก็คือภาพวาดพระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)ที่วาดให้กับโบสถ์ Santa Maria delle Grazie

เเละภาพโมนาลิซ่า (อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟในประเทศฝรั่งเศส)

นอกจากนี้เลโอนาร์โดยังได้ศึกษา เเละออกเเบบทางวิศวกรรมโดยเฉพาะที่สิ่งเกี่ยวกับสงครามให้กับเมืองมิลาน ผลงานหลายอย่างของเขานั้นมีความคิดล้ำยุค ล้ำสมัย เช่น เครื่องร่อน รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง หรือเเม้กระทั่งเรือดำน้ำ ต่อมาเขาได้รับคำเชิญของพระเจ้า Francis ให้ไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเเละได้เสียชีวิตที่นั่น  

 เลโอนาร์โด ดา วินชีนับว่าเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในทุกสาขาไม่ว่าจะเป็นจิตรกร นักออกเเบบ วิศวกร สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ นักประดิษฐ์ เเละนักกายวิภาค คนสำคัญของโลก


วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566

            


 ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เเต่ส่วนใหญ่เรามักจะคิดรวมๆว่าสิ่งลี้ลับ ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้ดูมาเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน หากต้องจำเเนกกันจริงๆ เป็นการยากที่จะข้อเเตกต่างได้ เเต่หากรู้ไว้ก็เป็นความรู้ประดับไว้ก็ดีไม่ใช่น้อย ดังมีรายละเอียดดังนี้

ภูติ

อดีตมนุษย์ที่สมัยยังเป็นมนุษย์มีทั้งชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น,หลงในวิชาไสยเวทย์สายดำที่ใช้เบียดเบียนคนอื่น ฯลฯ พอตายลงจึงเป็นกายละเอียดที่มีรูปลักษณ์หลายประเภทลักษณะรูปร่าง หน้าตาผิดปกติน่าเกลียด น่ากลัว เเตกต่างกันขึ้นอยู่กับเเรงบาปของภูติเเต่ละประเภท มีทั้งการต้มตุ๋น,ชอบวิชาไสยเวทย์ เบียดเบียนผู้อื่น ช่วงใกล้ตายมีใจผูกพันกับไสยเวทย์เเละบาปต่างๆที่ก่อไว้ อีกทั้งบาปยังไม่ส่งผลให้ไปอบายได้ ทำให้ต้องกลายเป็นภูติ มีตัวอย่างดังนี้ 

  • ผีกระสือ เเละผีกระหัง
  • ภูติที่สมัยเป็นมนุษย์มัวเมาไสยเวทย์สายดำที่เบียดเบียนผู้อื่น
  • ภูติเฝ้าป่าเฝ้าเขา
  • ภูติเฝ้าทรัพย์ หวงสมบัติ

ผี

อดีตมนุษย์ที่กลายเป็นกายละเอียด หลังจากที่ตายเเล้ว เนื่องจากกำลังบุญที่ทำไว้ไม่พอจะไปสวรรค์ได้ เเละบาปก็ไม่พอจะไปนรกได้ ซึ่งเเบ่งเเยกเป็นหลายประเภท ผีทั่วๆไปเป็นกายละเอียดในระดับพื้นมนุษย์ วนเวียนปะปนอยู่กับโลกมนุษย์มีหลายๆอย่าง เช่น สัมภเวสี,ภุมมเทวาในระดับล่างเป็นต้น  สมัยเป็นมนุษย์ไม่ได้ศึกษาหลักวิชชาความจริงของโลก เเละชีวิต จึงไม่ได้เตรียมกายเเละใจที่จะเผชิญชีวิตหลังความตาย คือไม่ได้สั่งสมบุญไว้นั่นเอง มีตัวอย่างเช่น 

  • กายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่เพิ่งตาย กำลังบุญกับบาปส่งผล,
  • สัมภเวสี (ผีเร่ร่อน) กายละเอียดไม่มีที่อยู่ 
  • ภุมมเทวาระดับล่าง หรือผีบ้านผีเรือน

ปีศาจ

    อดีตมนุษย์ที่สมัยเป็นมนุษย์มีทั้งหมกมุ่นไสยเวทย์สายดำ ซึ่งจะฝักไฝ่มากกว่าภูติ หรือเป็นปรมาจารย์ที่ช่ำชองไสยเวทย์ ,ชอบทำร้ายคนอื่น หรือมีใจผูกอาฆาตจองเวรคนที่ทำร้าย จึงกลายเป็นกายละเอียดมีรูปลักษณ์น่าเกลียด น่ากลัว ลักษณะรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว เเตกต่างหลากหลายขึ้นอยู่กับเเรงบาปกรรมของปีศาจเเต่ละประเภท ในอดีตหมกมุ่นไสยเวทย์ทำร้ายผู้อื่น,โกรธเเค้น อาฆาต ช่วงกำลังใกล้ตายใจมืดมน ผูกพันไสยเวทย์ เเละความเศร้าหมองต่างๆ อีกทั้งบาปที่ทำไว้ยังไม่ส่งผลที่จะไปอบาย ทำให้ต้องกลายเป็นปีศาจ มีตัวอย่างเช่น

  •  ปีศาจน่าเกลียด น่ากลัวผิดปกติ
  • ปีศาจที่อดีตใช้วิชาไสยเวทย์ทำร้ายผู้อื่น เช่น สะกดวิญญาณเด็กทารกทำกุมารทอง 
  • ปีศาจผมหยิก  หน้าปูดดุร้าย
  • ปีศาจผมฟูเนื้อตัวมีบาดเเผล มีกลิ่นเหม็นเน่า หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว

สิ่งที่ภูติ ผี ,ปีศาจ มีเหมือนกันคือ ทั้งหมดขณะที่เป็นมนุษย์ ได้ทำทั้งบุญปนบาป เมื่อตายเเล้ว มีบุญไม่พอไปสวรรค์,บาปไม่พอไปนรก ,สภาพใจขณะใกล้ตายเศร้าหมอง,เมื่อตายกลายเป็นกายละเอียดเเล้ว ก็มักจะคอยวนเวียนในที่ๆพวกเขาผูกพันสมัยยังมีชีวิต หมู่ญาติสามารถอุทิศกุศลส่งไปได้ ถ้าบุญส่งไปมากพอ ก็จะสามารถเปลี่ยนภพภูมิให้ดีขึ้นได้

การทำบุญอุทิศ่ส่วนกุศลจึงไม่เพียงเเต่นำความร่มเย็น สุขใจ ได้บุญให้เเก่คนเป็นเท่านั้น เเต่ยังเป็นการส่งบุญให้กับหมู่ญาติที่ล่วงลับไปเเล้วได้ด้วย เเม้เขาจะไปอยู่ในภพภูมิใด หากรับได้ กำลังบุญนั้นมีมากพอก็จะสามารถปรับภพภูมิได้ หรือเเม้หากมีกรรมหนักยังรับไม่ได้ บุญก็จะไม่หายไปไหนจะรออยู่จนกกว่าผู้รับจะสามารถรับได้ ก็จะเเสดงผลทันที เเต่หากจะให้ดีที่สุดบุคคลนั้นควรเร่งทำบุญตั้งเเต่ตั้งยังมีชีวิต เเละทำด้วยตัวเองดีกว่า

 เเหล่งข้อมูล    โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน

เเหล่งภาพ   google.com/de


วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

        

เริ่มมีอาการ หลงๆลืม ๆ จนหงุดหงิดบ่อยครั้ง เพราะบางเรื่องเเม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เเต่ก็ไม่น่าจะทำผิดพลาด หรือลืมกันได้ง่ายๆ จนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
ตัวเลขง่ายๆ,ทางที่เคยกลับบ้าน,งานที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน เเม้กระทั่งการเขียนหนังสือ ก็เริ่มมีอาการเขียนผิด เขียนถูก ลืมคำไปง่ายๆหรือต้องใช้เวลานานมากขึ้นในการเรียบเรียง หรือนึกถึงสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือน เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของเราในปัจจุบันได้หลายอย่าง ซึ่งอาจปล่อยไปเมื่อสูงวัยขึ้น อาจจะกลายเป็นปัญหา โรคฮิตหลายโรคที่พักหลัง เรามักจะได้ยินบ่อยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรคสมองเสื่อม ,โรคอัลไซเมอร์ หรือเเม้กระทั่งโรคซึมเศร้า เเต่หากจะบอกว่า เป็นธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับผู้สูงวัย ก็ไม่ใช่เสมอไป เพราะมีผู้สูงวัยหลายๆคนที่เเม้จะอายุมากเเล้ว เเต่กลับมีความทรงจำที่ดี,หูตา ยังใช้ได้ เเถมบางคนก็ยังขับรถไปไหนมาไหนเองได้ด้วย การใช้ชีวิตเเบบผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ ทั้งร่างกาย เเละความทรงจำสามารถทำได้ เเม้สำหรับคนหนุ่มสาวที่เริ่มมีอาการน่าเป็นห่วงเหล่านี้ ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราตอนนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้าได้เช่นกัน โดย

1.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เเละตรงเวลา
    เวลาการนอน เเละจำนวนชั่วโมงในการนอนข
องเเต่ละคนไม่เหมือนกัน จะนอนสั้น นอนยาว เเล้วเเต่ร่างกายของเเต่ละบุคคล จะสังเกตได้ง่ายๆว่า ชั่วโมงนอนของเราเพียงพอหรือไม่ โดย ดูช่วงเวลาตอนตื่นในเเต่ละวัน เรามีอาการโหย ,อ่อนเเรง,ซึม หรือง่วงนอนตลอดเวลาหรือเปล่า หากเรานอนเต็มอิ่มอาการเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดื่มคาเฟอีนมากระตุ้นให้ตื่นตัว เพราะบางคนถึงนอนยาว เเต่ก็มีอาการนี้ อาจจะเกิดจากระหว่างช่วงเวลานอนไม่ได้นอนหลับอย่างสนิท มีการหยุดการหายใจ หรือ วิตกจนมีอาการเครียดระหว่างการนอนได้

2.ความเครียด  มีผลต่อความจำโดยตรง จึงต้องหาวิธีคลายเครียด เช่น อ่านหนังสือ,ออกกำลังกาย,ดูหนัง หรือหมั่นมองโลกในเเง่บวก ไม่เก็บอารมณ์ที่เป็นลบไว้กับตัว เป็นต้น

3.หยุดความคิดที่เป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง  เมื่อเราคิดจะทำสิ่งไหนก็ให้ทำสิ่งนั้นเลยทันทีที่มี่โอกาส เลิกบอกตัวเองว่า ฉันไม่สามารถออกกำลังกายได้ เพราะไม่มีเวลา, ไม่สามารถไปที่ไหนได้ เพราะไม่มีเพื่อน ฯลฯ การมีข้ออ้างมากมายในชีวิต นอกจากจะทำให้ตัวเองมีอารมณ์ลบเเล้ว ยังสร้างความรำคาญให้กับคนที่อยู่รอบตัว เเละก็ยิ่งทำให้ไม่มีใครสนใจอยากเข้าใกล้ด้วย
4.รับประทานอาหารให้สมดุล  บางคนเลือกกินอาหารคีโต ,IF, คลีน หรือตามกระเเสเเฟชั่น โดยลืมไปว่า อาหารเหล่านี้ เราไม่สามารถกินได้ตลอดชีวิต เเละกินอาหารซ้ำๆ รูปเเบบเดิมๆอาจจะมีผลกระทบต่อสารอาหารที่เข้าไปสู่ร่างกายด้วยว่า เพียงพอหรือไม่ เเละหากยิ่งเสริมด้วยอาหารเสริม ยาบำรุงต่างๆ กลับจะยิ่งเพิ่มค่าใช้จ่าย เเละความยุ่งยากในการใช้ชีวิตเข้าไปอีก
5.ฝุ่นต่างๆ  ปัจจุบันปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ รอบตัวเรามีบทบาทสำคัญในการเข้าไปสร้างพิษในสมองของเรา
6.โรคประจำตัว  คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน,ความดัน,ไขมันสูง หรืออะไรก็ตาม ต้องคุมให้โรคประจำตัวเหล่านี้อยู่ในภาวะสมดุล เพราะจะส่งผลต่อความจำเป็นอย่างมาก

7.การออกกำลังกาย    การออกกำลังกายเเนวเเอโรบิค 5 วันต่อสัปดาห์ 

วิธีป้องกันโรคความจำเสื่อม

 1.ออกไปพบปะผู้คนเเละสังคมข้างนอก   สำหรับวัยหนุ่มสาวอาจจะยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เนื่องจากมีการทำงานมาบังคับให้ต้องออกไปพบปะสังคม เเต่สำหรับผู้สูงอายุ เราอาจจะอย่ากเก็บคนสูงวัยที่มีอาการเหล่านี้ไว้ให้อยู่กับบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลงทาง หายไปจากบ้าน ,ได้รับอันตราย หรือไปก่อความวุ่นวายให้คนข้างนอก เเต่จริงๆเเล้วการไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา ขาดทักษะการสื่อสาร อาการทางสมองจะเป็นมากขึ้น เเละโรคอื่นๆจะตามมาเป็นผลต่อทันที เช่นโรคซึมเศร้า ดังนั้นจึงควรให้มีการสื่อสารกับสังคม หากออกข้างนอกไม่ได้ ก็ให้มีกลุ่ม หรือคนที่พูดคุยให้มีการโต้ตอบ ใช้สมองคิดเเก้ปัญหา หรือตอบปัญหา ฝึกสมองไปด้วย หรือหากจะใช้สัตว์เลี้ยงเป็นตัวช่วย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี



2.เลี้ยงสัตว์เลี้ยง    การได้เลี้ยงดู ,สัมผัส หรือพูดคุยกับสัตว์เลี้ยง หรืออยู่ในสภาพเหมือนมีสังคมจะช่วยบรรเทาจิตใจ เเละให้สมองได้มีการโต้ตอบ สื่อสารได้

3.เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ    ฝึกคิด ทำงานอดิเรกที่ชอบ หรือเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เคยอยากทำ เเต่ไม่มีโอกาส หรือเวลาทำซักที โดยที่ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ใส่ใจเรื่องอายุ ขอให้เป็นสิ่งที่ทำเเล้วมีความสุข เเละเพลิดเพลินกับมัน เช่น จัดดอกไม้, ร้องเพลง,เล่นเกม ,ปลูกดอกไม้ การได้ทำในสิ่งที่ชอบ นอกจากผ่อนคลายเเล้ว ยังสนุก เเละทำให้อารมณ์ ความรู้สึกภายในเหมือนยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่

4.การใช้ประสาทสัมผัสด้านที่ไม่ถนัด ฝึกใช้ประสาทสัมผัสที่เราไม่ถนัดอีกฝั่งหนึ่ง เช่น เราถนัดมือขวา ให้ลองมาใช้งานมือซ้ายให้มากขึ้น เเบบง่ายๆ เเม้ไม่สะดวกเเต่นานๆไปก็จะดีขึ้น เป็นการฝึกสมอง ประสาทสัมผัส เเละพัฒนาความคิดทางสร้างสรรค์

5.การอ่านออกเสียง ฝึกอ่านหนังสือออกเสียงดังๆ นอกจากเป็นการฝึกประสาทสัมผัส ช่วยเรื่องความทรงจำ เเละเเก้เรื่องการหลงลืม คำบางคำ

6.ฝึกการบวกเลขในใจ เวลาเจอป้ายตัวเลข ให้คิดในใจบวก ลบ คูณ หาร อย่างง่ายๆในใจ ,เติมคำในช่องว่าง เช่น เเบบฝึกหัดSodoku ,เล่นหมากรุก,หมากฮอส ก็ได้

เมื่อการจำมีปัญหา สิ่งเหล่านี้ช่วยได้
1.การจดบันทึกประจำวัน      การจดไดอารี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างที่เรานึกไม่ถึง การจดสิ่งที่ทำในเเต่ละวันจะทำให้เราได้ทบทวนความจำในเเต่ละวันว่า ได้เจอ คน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ สถานที่อะไรบ้าง เป็นการฝึกความจำอย่างดี
2.ตั้งเตือนนัดหมายต่างๆในโทรศัพท์    เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เป็นตัวช่วยที่เหมาะกับยุคสมัยที่เราควรนำมาใช้ เพื่อไม่ให้เกิดการหลงลืมสิ่งที่สำคัญมากๆได้
3.โรคซึมเศร้า     เป็นโรคที่กระทบกับความจำเราโดยตรง หากมีอาการหรือเป็นโรคนี้ ไม่ต้องกังวล โรคนี้หายได้ ให้ไปพบเเพทย์ ยอมรับตัวเองเเละขบวนการรักษาจะทำให้เราหายได้ มีหลายๆคนที่เป็นโรคความจำเสื่อมตั้งเเต่วัยหนุ่มสาว เเต่ไม่ยอมรับตัวเองว่ามีอาการป่วยของโรคอื่นอยู่ก่อน จึงได้รับผลพวงของโรคต่อมา
4.ยาบางชนิด    ค้นพบว่ามียาสำหรับผู้สูงอายุที่ใช้รักษาโรคประจำตัวหลายตัวที่มีผลต่อความจำ จึงควรถามเเพทย์ถึงผลข้างเคียงของยา เมื่อต้องรับยาชนิดใดชนดหนึ่งนานๆ
5.บุหรี่ สิ่งเสพติดบางชนิดมีผลต่อสมองโดยตรง    ต้องงดดื่ม งดสูบ ยิ่งผู้สูงอายุควรหยุดเด็ดขาดไปเลย









วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566


วัฒนธรรมการดื่มชา สำหรับคนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคย หรือได้รับความนิยมกว่าการดื่มกาเเฟ จึงมักจะเห็นร้านกาเเฟอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป หาง่ายกว่าร้านชามาก ทั้งๆที่ ชาดีๆนั้นมีหลากหลาย เเละมีประโยชน์ไม่น้อย โดยเฉพาะชาดอกไม้ ซึ่งหลายๆคนยังอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ดอกไม้นำมาทำเป็นชาได้ เเละมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงร่างกายได้ด้วย โดยเฉพาะ ดอกชบาสีสวย ข้างรั้ว ที่เราเห็นทั่วไปตั้งเเต่เด็กๆ มีคุณสมบัติน่าสนใจหลายอย่าง ที่นักวิจัยได้ศึกษาเเล้วพบว่าเมื่อนำมาทำเป็นชา จะกลายเป็นดอกไม้มหัศจรรย์ดังนี้

ชาดอกชบา (Hibiscus Tea) 

กรรมวิธีในการทำ  ส่วนใหญ่จะใช้ดอกชบาที่ล้างสะอาดเเล้วตากเเห้ง มาชง หรือเเช่ในน้ำร้อนจัด โดยไม่ต้องเต็มน้ำตาลใดๆ หรือในทางธุรกิจ จะผ่านกรรมวิธี อบ ตากเเห้งใส่ถุงชาเล็กๆ


บรรจุกล่องสวยงาม เวลาใช้ก็เเช่ในน้ำร้อนจัด ไว้ประมาณ5-8 นาที ก็จะได้น้ำชาสีเเดงเข้ม กลิ่นหอมอ่อนๆ รสชาติจะออกไปทางหวานอมเปรี้ยว คล้ายๆ กับน้ำดอกกระเจี๊ยบ ดื่มได้ทั้งร้อน เเละเย็น 

ประโยชน์ของชาชบาเมื่อดื่มเป็นประจำ

ชาชบา ถือเป็น สมุนไพรท้องถิ่นหาง่าย ในหลายๆภูมิภาค ทั้งในประเทศไทย เเละต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเเถบโซนร้อน เช่นเเอฟริกา เป็นพืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ยิ่งกว่า ชาเชียว ใช้เพื่อ

➤ ลดไข้  บรรเทาอาการเจ็บคอได้
➤ บำรุงหัวใจ ดีต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
➤ ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อย่างดี 
➤ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งดีต่อการต้านการเสื่อมโทรมของเซลล์ในร่างกาย
     ต้านการอักเสบ เเละความเสี่ยงในการเกิดโรคที่จากการสะสมของอนุมูลอิสระเช่น โรคมะเร็ง
➤ ช่วยลดคอเรสเตอรอล หรือ ไขมันไม่ดี(LDL) ในเลือด เเละเพิ่ม ไขมันดี(HDL) ได้เป็นอย่างดี

หากเเต่นอกเหนือจากประโยชน์มหาศาล เเต่ก็ยังมีข้อควรพึงระวังด้วย เนื่องจากชาชบาก็ยังจัดอยู่ในหมวดชา จึงควรระวังเหมือนการดื่มชาสมุนไพรอื่นๆ เเละชาชบานั้นยังมีผลต่อยารักษาโรคในปัจจุบันบางตัวด้วย  เช่น ยาลดความดัน เพราะชาชบานั้นมีคุณสมบัติในการช่วยลดความดันได้ดี หากผู้ที่ดื่มมีโรคประจำตัวเป็นความดันสูง เเละใช้ยาประจำอยู่ หากดื่มชาชบาด้วย จะทำให้การซ้ำซ้อน มีฤทธิ์ในการลดความดันมากเกินไป จนทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเเทนได้ นอกจากนี้ในดอกชบา ยังมีสารโฟโตเอสโตรเจน ที่ทำหน้าที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในมนุษย์

การดื่มชาขบาเป็นประจำ สำหรับผู้หญิง อาจจะมีผลต่อการการกินยาคุมกำเนิดได้ ว่าอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง


ดังนั้น ในการดื่มชาชบา ก็ควรจำกัดอยู่ในปริมาณไม่มาก ไม่น้อยเกินไป หรือหากท่านมีโรคประจำตัวที่ต้องใช้ยาประจำ ก็ควรปรึกษาเเพทย์ก่อน เพือไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เเละจะได้รับประโยชน์จากดอกไม้มหัศจรรย์นี้อย่างเต็มที่



เเหล่งภาพ: Pixbay



วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564






 ตัวเลือกของวัคซีนในปัจจุบันมีหลากหลายขึ้น พอๆกับการระบาดกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด ก็ปรับไปตามสถานการณ์เช่นกัน จนถึงคำถามสุดท้ายของวัคซีนตัวเลือกวัคซีน mRNAที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Pfizer และ Moderna ตัวไหนจะดีกว่า ฉีดสลับกันได้หรือเปล่า  ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ มีมากน้อยแค่ไหน มาทำความรู้จักวัคซีน 2 ชนิดนี้กัน

1.วัคซีน Pfizer มีชื่อจริง ว่า  Comirnaty (คอเมียร์นาตี้)

2.วัคซีน Moderna มีชื่อจริงเรียกว่า spikevax (สไปท์แวค)

ปริมาณการฉีด

1.Pfizer จะฉีดในผู้ใหญ่ ปริมาณ 30 ไมโครกรัม ห่างกัน 3 อาทิตย์

 (ส่วนเด็ก 5-11 ขวบจะฉีดปริมาณ 10 ไมโครกรัม) ห่างกัน 3 สัปดาห์

2. Moderna ฉีด 100 ไมโครกรัม

(ส่วนเด็ก 5-11 ขวบยังไม่มีการใช้ แต่มีการทำการทดลองแล้ว ต้องรอผลกันต่อไป) ระยะห่างการฉีดห่างกัน 4 สัปดาห์

        


        หลังจากมีการเก็บข้อมูลของ CDC คือ ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention) และมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) เกี่ยวข้องกับวัคซีน 2 ชนิดนี้ พบว่าวัคซีน Moderna มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโควิดหลังจากฉีดวัคซีนเหนือกว่าวัคซีน Pfizer เล็กน้อย โดยกรณีของ CDC ผลของวัคซีน Moderna มีประสิทธิภาพในการป้องกันคนไข้มานอนโรงพยาบาลได้ 95% ในขณะที่ Pfizer ป้องกันได้ 80%ต่างกันบ้าง มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) อยู่ที่ 80 % ส่วน Moderna อยู่ที่ ซึ่งเมื่อเที่ยบกับตัวอื่น ทั้งสองก็ยังถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก

ผลเสียเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเนื้อเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

        ในความเป็นจริงทั้งสองวัคซีนเจอผู้ป่วยหลังฉีดวัคซีนเข็มสองเป็นจำนวนน้อยมากๆ และพอเจอในกรณี Moderna มากกว่า Pfizer 2.5 เท่า

        ตัวเลขผู้ป่วยจากการฉีดวัคซีน mRNAประมาณ 12.6 คน ใน หนึ่งล้านคนที่ฉีดวัคซีนไป ซึ่งก็ถือว่าน้อยมากๆ ที่แสดงให้เห็นว่าถึงมีปัญหาบ้าง แต่สัดส่วนคนที่เกิดปัญหาเทียบกับจำนวนคนนับล้านที่ฉีดก็ยังไม่น่ากังวล

ทำไม Moderna ถึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า

        ตามความคาดการณ์ อาจจะเป็นปริมาณจำนวนโดสที่ให้สูงกว่า เกือบ3 เท่าของไฟเซอร์

หรือเป็นตัวหุ้ม mRNA หรือไลปิดนาโนพาทิเคิล ที่วัคซีน2 ชนิดนี้ใช้ในขบวนการเป็นตัวต่างกันอีกสมมุติฐานหนึ่งก็คือ ระยะเวลาความห่างระหว่างเข็มในการฉีดคซีน ที่ Pfizer ใช้ระยะห่าง 3อาทิตย์แต่ Moderna ใช้ 4 อาทิตย์ การเว้นระยะวัคซีน 2 เข็มห่างกันนานขึ้น ก็จะทำให้ภูมิที่เราได้รับจากการกระตุ้น สูงขึ้นตามไปด้วย กว่าการเว้นที่น้อยลง

        แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจนถึงปัจจุบัน แม้การตอบคำถามว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ หรือเนื้อเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบใน Moderna สูงกว่า Pfizer

        สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ผลการวิจัยก็ออกมาชัดเจน ว่า 

1.ผู้ได้รับวัคซีนmRNA มีโอกาส 12.6 คนใน 1 ล้านคน

2.ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน แล้วติดโควิดในช่วงอายุ 12-17 ปี มีโอกาสเกิดได้ถึง 450 คนใน 1ล้านคน

        ซึ่งกรณีแรกที่พบอาการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ จากการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง จะแสดงผลให้เห็นภายในระยะเวลาแรกๆ ไม่เกิน3-4 วันหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งสามารถหายได้จากการใช้ยาหลายๆตัวรักษา เช่น แอสไพลิน หรือยาลดการอักเสบ ซึ่งอาการจะไม่รุนแรง

    สลับวัคซีนได้ไหม

ระหว่างวัคซีนmRNA จะสลับกันได้ไหม เช่น เข็มที่ 1 เป็นไฟเซอร์ เข็มที่2 จะเป็น โมเดอร์นา

    ไม่มีปัญหา หรือจะบูทด้วยวัคซีนต่างกันก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน การสลับไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ แล้วแต่ดุลยพินิจของผู้ฉีดเอง ยังไงการฉีดวัคซีนไว้มีผลดีมากกว่าแน่นอน ลดการติดโควิดที่ไม่ว่าจะกลายพันธุ์แค่ไหนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยกว่าผู้ที่ไม่ฉีดแน่นอน

ขอบคุณแหล่งที่มา Docter Tany Pfizer กับ Moderna ตัวไหนดีกว่า? - YouTube

 

 


วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563


มีเรื่องในอดีตที่แทบจะเป็นความลับระหว่าง กองทัพนาซี และหน่วยมอสสาด ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับที่เลื่องชื่อของประเทศอิสราเอล ซึ่งดูเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่กลับจ้างคนทำงานคนเดียวกัน และคนๆนั้นไม่ใช่คนระดับธรรมดาเสียดาย แต่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยรบพิเศษของนาซี หรือช่วงนั้นคือ หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ(SS)ของฮิตเลอร์ด้วย

พันโทอ๊อตโต้  สกอร์เซนี่ นายทหารชาวเยอรมันแท้ๆ ซึ่งมีความสูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว และมีรอยบากที่หน้า ทำงานให้กองทัพเยอรมันในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ผลงานการทำงานยอดเยี่ยม จนได้รับการกล่าวขานจากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ และอเมริกา ในสมัยนั้นว่า เป็น บุคคลอันตรายที่สุดในยุโรป  อ๊อตโต้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงให้กับตัวเอง
หลายเหตุการณ์ อาทิเช่น ในปี 1943 เขาอยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือ มุสโสลินีให้หนีรอดในช่วงที่เขาถูกโค่นล้มโดยรัฐบาลอิตาลี  นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมในการยึดครองประเทศฮังการีหลังจากที่รัฐบาลหุ่นของฮังการี ได้แอบเจรจาสงบศึกกับโซเวียตลับหลังฮิตเลอร์ในปี 1944 ซึ่งเหตุการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมนี้ทำให้มีการส่งตัวชาวยิวนับหมื่นคนที่หลงเหลือ มีชีวิตอยู่ในฮังการี ต้องถูกส่งไปยังค่ายกักกัน และเสียชีวิตไปในค่ายเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาอาจจะได้รับมอบภารกิจในการลอบสังหาร ประธานาธิบดีรูสเวลดท์  ,นายกรัฐมนตรีเชอชิล และแม้กระทั้งสตาลินที่กรุงเตหะราน แต่เนื่องจากมีข่าวรั่วออกมาก่อน แผนการลอบสังหารที่จึงได้ถูกยกเลิกไป

แต่ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง อ๊อตโตได้ถูกจับกุมโดยประเทศสหรัฐอเมริกา และระหว่างถูกจำขังเพื่อรอการพิจารณาโทษ ในปี 1947 เขาก็สามารถหนีออกไปได้ โดยเล่ากันว่ามีลูกน้องทหารหน่วย SS ของเขาได้ปลอมตัวเป็นทหารอเมริกันลอบเข้าไปพาเขาหลบหนีออกไปได้ แต่ตัวเขาเองให้การภายหลังจากการเขียนบันทึกส่วนตัวว่า ทางการสหรัฐฯได้ยินยอมให้เขาหนีออกไปเอง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ไปตั้งรกราก สร้างชีวิตใหม่ที่สเปนในปี 1950

                แต่แล้วช่วงปี 1962 หน่วยมอสสาด  ได้นำตัวไอค์มันน์ หรือ อดอล์ฟ ไอชมันน์ ผู้สั่งรมแก๊สชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถูกจับกลุมได้ที่อาร์เจนตินา โดยสายลับหน่วยมอสสาดและส่งตัวมากักขัง และขึ้นศาลที่นครเยรูซาเล็ม และสุดท้ายก็โดนประหารในที่สุด ทำให้เหล่าอดีตทหารนาซีที่ยังหลบหนี และมีชีวิตอยู่ตามประเทศต่างๆเกิดความหวั่นวิตก และเมื่อยิ่งมีรายชื่อตามล่าอดีตนาซี ที่จัดทำโดย ซิมอน วีเซนธาน นักล่านาซีหลุดรอดออกมา ยิ่งทำให้เกิดความกลัวจนแทบเสียขวัญอีกด้วย

                ปะเหมาะกับช่วงนั้นประเทศอิสราเอลกำลังพบกับสงครามรอบด้าน โดยฝ่ายตะวันออกกลางนำโดยอียิปต์ที่มุ่งโจมตีประเทศนี้อยู่ ซึ่งอียิปต์ได้จ้างเหล่านักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันอดีตนาซี เข้ามาทำวิจัยผลิตจรวดขีปนาวุธที่ยิงออกจากอียิปต์แล้วไปตกตรงไหนก็ได้ของอิสราเอลตามที่ต้องการ หน่วยมอสสาดจึงจำเป็นจะต้องหยุดยั้งโครงการยิ่งถล่มประเทศนี้ให้ได้   หัวหน้าหน่วยมอสสาดภาคพื้นยุโรปในขณะนั้นคือ ราฟฟี่  ไอทาน ได้เสนอวิธีการ เกลือจิ้มเกลือ คือ ให้เยอรมันจัดการเยอรมันด้วยกันเอง เขาจึงเสนอให้จ้าง พันโทอ๊อตโต้  สกอร์เซนี่ ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ที่สเปนมาจัดการเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายๆฝ่ายมองว่าไม่สามารถเป็นไปได้


                แต่ทว่าในปี 1962 สายลับมอสสาดสองคนที่ปลอมตัวเข้าไปในสเปน และตีสนิทกับ สกอร์เซนี่และภรรยาที่ผับแห่งหนึ่งได้สามารถเจรจา ตกลงเงื่อนไขการทำงานกับสกอร์เซนี่ได้ โดยสกอร์เซนี่ไม่ได้ต้องการเงินตอบแทนใดๆ แต่ขอสิ่งตอบแทนเป็นการถอดชื่อเขาออกจากแฟ้มบัญชีดำของกลุ่มนักล่านาซีด้วย ซี่งหน่วยมอสสาดก็พยายามที่จะถอดถอนชื่อออก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจาก ซิมอนไม่ยอมตกลง จนท้ายที่สุดหน่วยมอสสาดก็ได้ใช้อุบายปลอมเอกสารขึ้นมา แล้วเอามาให้สกอร์เซนี่ดูว่าไม่มีชื่อแล้ว  ทางสกอร์เซนี่จึงเริ่มภารกิจไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ทางโทรศัพท์ หรือส่งจดหมาย ลอบวางระเบิด ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกและทำงานให้งานวิจัยของอียิปต์อยู่ แผนการลอบสังหารนี้เป็นไปด้วยดีโดยไม่มีใครรู้เลยว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง แม้กระทั่ง ไฮนซ์  ครู้ก หนึ่งในหัวหน้าโครงการวิจัยนี้หวาดผวากับเหตุการณ์ล่าสังหาร ต้องจ้างสกอร์เซนี่มาคุ้มครอง โดยที่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสกอร์เซนี่เองก็รับงานของหน่วยงานมอสสาดมาอีกที แล้ววันหนึ่งเขาก็หายตัวไปจากเมืองมิวนิค เยอรมีระหว่างเดินทางไปทำงานอย่างไร้ร่องรอย หลังจากในตอนเช้ามีสกอร์เซนี่และทีมงานไปรับเขาเพื่อไปส่งทำงาน ว่ากันว่า สกอร์เซนี่ได้ยิงเขาทิ้งและใช้น้ำกรดละลายศพเพื่อไม่ให้มีหลักฐานแล้วฝังไว้ในป่าที่เยอรมนี จากนั้นตั้งแต่ปี 1965 ก็ไม่เหลือนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันทำงานให้อียิปต์อีกแม้เพียงคนเดียว

                ในบั้นปลายชีวิต อ๊อตโต  สกอร์เซนี่ ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรื่อยมาในสเปน โดยไม่มีหน่วยมอสสาด หรือใครมายุ่งกับเขาอีก จนถึงปี 1975 เขาก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดด้วยอายุ 67 ปี ในงานศพของเขาบรรดาเหล่าเพื่อนฝูงได้มีการแสดงการไว้อาลัยด้วยการเคารพแบบนาซี และมีการร้องเพลงนาซีอย่างเปิดเผย โดยไม่มีใครที่มาร่วมงานศพนั้นได้รู้เลยว่า บุคคลที่นอนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเคยเป็นพวกที่หักหลังพวกเดียวกัน และเคยเป็นสายลับทำงานให้กับอิสราเอลมาก่อนเลย...

ขอขอบคุณเเหล่งภาพ      google.com

เเหล่งข้อมูลบางส่วนจาก The Wild Chronicles Group

 

 

 


จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget