วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เห็นเค้าถามกันใน Facebook  line twitter ฯลฯ เวลาวัดแถลงการณ์อะไรก็จะมีคนมาถามว่า ทำไมไม่ไปศาล ไม่ออกมาพิสูจน์ความจริง มีการตั้งคำถามมากมาย

 ถ้าถามว่า อยากให้หลวงพ่อไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมไหม??
 
 ตอบว่า ถ้ากระบวนการยุติธรรมยังไม่ยุติธรรม ใครหน้าไหนอยากไปเข้ากระบวนการ ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อยินดีทำตามกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรมทุกประการ เพียงแต่ตอนนี้ท่านอาพาธอยู่ และป่วยจริงๆ ถ้ากระบวนการยุติธรรมของ DSI เจ้าหน้าที่สืบสวนมีหน้าที่พิสูจน์ความจริง ก็ควรมาที่วัดและพิสูจน์ว่า "เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายป่วยจริงไหม"

  แต่เหตุใด DSI มีหน้าที่โดยตรง ไม่มาพิสูจน์ทราบ ตามที่วัดได้ร้องขอไป คิดแต่จะจับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพียงอย่างเดียว เหตุใดไม่นำหมอมาตรวจว่าป่วยจริงไหม อย่างนี้เรียกว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิดมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา

ซึ่งแท้จริงเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายควรได้สิทธิ์ผู้ป่วยตามกฎหมายอาญามาตรา 7/1 แต่กระบวนการยุติธรรมของ DSI  แค่เบื้องต้นก็ไม่อำนวยเรื่องง่ายๆ แค่นี้ให้   นี่หรือจะชื่อว่ายุติธรรม??? แล้วกระบวนการอย่างนี้หรือ ที่จะมาตัดสินเรื่องรับของโจร ฟอกเงิน และจะให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปมอบตัว?? สงสัยถ้าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปได้ติดเชื้อในกระแสเลือดแน่

นี่แค่เรื่องง่ายๆ เบื้องต้น DSI ยังมีตุกติก มีนอกมีใน ซึ่งความจริง คดี 27/2559 DSI ทำผิดขั้นตอนตั้งแต่ต้น ไม่ควรจะมีคดีนี้เกิดขึ้นเลย แต่ DSI ไม่ยอมฟังคำสั่งอัยการ กลับวิ่งไปตั้งคดีใหม่แยกออกมา อย่างนี้ชอบธรรมหรือ ?

ข้อสังเกต กรณีหมายเรียกจากดีเอสไอ วันที่ 29 มีค. 2559
อย่าคิดว่าดีเอสไอทำอะไรลงไปแล้วคนอื่นเขาไม่รู้ ความลับไม่มีในโลก 
 

ทั้งเรื่องการส่งหมายเรียกของ DSI ที่หลุดไปถึงสื่อมวลชนก่อนหมายเรียกจะไปถึงวัด ทั้งออกสื่อประจานเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่าเป็นผู้ต้องหา ทำกับพระราชาคณะ ผู้อาพาธประดุจว่ามีความผิดร้ายแรง ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่มีคำตัดสิน และอัยการยังไม่สั่งฟ้องด้วยซ้ำ ทำไม DSI เร่งรัดคดีถึงเพียงนี้ ?? นี่มันยุติธรรม หรือยุติธง ?? ตามธงที่ตั้งไว้ ?





 ทำไม DSI 2 มาตรฐาน พุทธอิสระ ปิดล้อม DSI ปิดศูนย์ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้ง ทำร้ายตำรวจทหาร รีดไถเงินเอกชน  ก่อม็อบสร้างความวุ่นวายให้ประเทศชาติอย่างมาก ทำไม DSI ไม่เร่งรัดดำเนินคดีนี้ ทั้งๆที่เป็นคดีที่มีโทษประหารถึง 2 คดี ??? 


นี่เหรอคือความยุติธรรมของ DSI ที่จะให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเข้ากระบวนการ ?? แล้วจะมาอ้างว่าตัวเองผู้รักษากฎหมาย ? แท้จริง DSI คือผู้ใช้กฎหมาย "รังแก" พระชราอาพาธรูปหนึ่ง

ขอให้ผู้ที่ถามว่าทำไมหลวงพ่อไม่เข้ากระบวนการ ได้ลองดูความยุติธงนี้ แล้วถามตัวเองว่าถ้าคุณจะส่งพ่อคุณไปติดเชื้อในกระแสเลือด คุณจะส่งพ่อคุณไปไหม??

ขอบคุณ OLIVIA ARMANDO

อังคารที่ 5 ตุลาคม 2542
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หลวงพ่อถามหลวงพี่ฐานะว่า
ทำไมคุณหมอทั้ง 3 คนถึงบอกว่าหลวงพ่อปกติ ทั้งๆที่อาการของหลวงพ่อเเย่ขนาดนี้


หลวงพี่ฐานะกราบเรียนหลวงพ่อว่า  ตอนที่เดินเข้ามาที่กุฏิหลวงพ่อ
หลวงพี่ฐานะได้ต้อนรับปฏิสันถาร เเละชวนคุณหมอทั้ง 3 ท่านพุโคุยในฐานะที่จบเเพทย์มาเหมือนกัน
เเต่เขาไม่ยอมคุยด้วย พูดเเต่เพียงว่า

ใบรับรองเเพทย์กี่หมอๆมาเจอผม เสร็จทุกราย


อันที่จริงในเรื่องนี้ ผมเองก็สามารถตอบเเทนหลวงพี่ฐานะได้
ผมคิดว่า เขาต้องมีการฟันธงไว้ในใจตั้งเเต่ก่อนมาหาหลวงพ่อ
เเล้วว่า  ต้องเอาหลวงพ่อไปขึ้นศาลให้ได้

เเต่พอหลังจากกลับมาถึงวัดเเล้ว
อาการของหลวงพ่อที่กำลังดีขึ้นก็ทรุดลงไปอีก  ปวดหัว ไข้ขึ้น
ขนาดเจ้าภาพสาธุชนทุกคนก็ยังงงกันไปหมดว่า
หลวงพ่อไม่สบายเเล้วไปที่ศาลได้ไง

เช้านี้หลวงพ่อทัตตะเข้ามาในกุฏิเพื่อเยี่ยมหลวงพ่อ
ท่านถามผมว่าหลวงพ่อเป็นไงบ้าง?

ผมตอบท่านไปว่าหลวงพ่อยังไม่ได้ลุกขึ้นมาฉันอะไรเลยครับ
เเล้วหลวงพ่อทัตตะก็เข้าไปในห้อง  ช่วยประคองหลวงพ่อให้ลุกขึ้นมาฉัน
หลวงพ่อท่านก็พยายามฝืนฉัน เพื่อให้หลวงพ่อทัตตะได้เห็นว่า
หลวงพ่อทัตตะจะได้ไม่ต้องคอยมากังวล เเละเป็นห่วง

ปรากฏว่าหลวงพ่อฝืนฉันไปได้เเค่ 2 คำ เเล้วหลวงพ่อก็อาเจียนออกมา

วันนี้ดูอาการหลวงพ่อเเล้วสรุปกันว่า
ต้องพาหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาล เลยรีบเตรียมของใช้ที่จำเป็น
เเล้วออกเดินทางในช่วงบ่าย
ก่อนออกเดินทางหลวงพ่อขอไปเเวะที่กุฏิคุณยายก่อน
พอมาถึงโรงพยาบาล คุณหมอได้เข้ามาตรวจ เเละซักถามอาการของหลวงพ่อ

คุณหมอถามหลวงพ่อว่าเป็นอยางไรบ้าง?















-โดนละอองฝนก่อน
-เเล้วเริ่มไอเล็กๆ
-ต่อมาก็ไอเพิ่มขึ้น
-เเละไม่มีเสียงเลย
-ปวดหัวนิดหน่อย

-ใช้ยาเป็นช่วงๆไม่ค่อยได้ผล
-ตอนกลางคืนไอทั้งคืน,เจ็บหน้าอก
-เเละอาเจียน
-มีไข้สะท้านทั้งวัน,มึนงงมาก
-คราวนี้ถือว่าเป็นหนักที่สุดในชีวิตจ๊ะ!!!!
                                   5 ต.ค. 42

คืนนี้กว่าหลวงพ่อจะหลับได้ก็เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าเกือบ 5 ทุ่ม
คุณหมอให้น้ำเกลือหลวงพ่อทั้งคืน
ที่เเขนของหลวงพ่อมีสายน้ำเกลือเสียบติดไว้ตลอด
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งเเรกที่ได้เข้ามานอนเฝ้าหลวงพ่อกันในห้อง

พี่ภาวันเลือกทำเลที่พื้นทางเดิน
ที่หลวงพ่อต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนผมเลือกพื้นที่ข้างเตียงเลย
เผื่อว่าหลวงพ่อตื่นมาเข้าห้องน้ำจะได้ช่วยประคองท่านได้ทัน
เเละจะได้ช่วยถือสายน้ำเกลือให้ท่านด้วย

คืนนี้ผมเหนื่อยเเละรู้สึกเพลีย
เริ่มมีไข้นิดหน่อยเเต่พอสู้ต่อไปได้
ยังกังวล เเละระเเวงกับฝูงผึ้งนักข่าว
ไม่อยากไปสู้กับเขา
เเละก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ด้วย

ผมเเละพี่ภาวันตางเพลีย ง่วง ด้วยกันทั้งคู่
เเต่พอหลวงพ่อพลิกตัว เราก็ตื่นกันทันที


                                                             ขอบคุณ  บันทึกอุปัฏฐาก
                                                            โค้ก อลงกรณ์สถาปิตานนท์


ขอบคุณความจริงที่ไม่มีวันตาย
ทำให้เราได้รู้ว่าเรื่องบางเรื่อง คนบางคน ยังดำเนินชีวิตอยู่
เพื่อจะหวนกลับมาใช้วิธีเดิมๆ
เพียงเเต่เปลี่ยนหน้าคนออกโรง....


ประธาน นปช. แฉปูมหลังชีวิต "มโน" มีแต่ความขัดแย้ง เต็มไปด้วยปัญหา ไม่มีวัดให้อยู่ ต้องห่มเหลือง
อยู่อพาร์ทเม้นท์ ก่อนลาสิกขา ย้ายมาเข้าแก๊ง 3 พ. จึงเดินงานด้วยอคติ เป็นฝ่ายปฏิปักษ์กับ "พระธัมมชโย" สงสัยดีเอสไอทำหน้าที่อย่างไร เชื่อพวกคนอคติ ใช้ข้อมูลฝ่ายปฏิปักษ์มาจัดการ จึงแสดงถึงเจตนาไม่สุจริต เชื่อข่าว

ปล่อยเงิน 2 พันล้าน มาจากฝ่ายตรงข้ามวัดพระธรรมกาย สร้างข้อหาบีบให้คสช. ทำตามความต้องการของฝ่ายปฏิปักษ์
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อ 31 พ.ค. โดยเชื่อว่า การปล่อยข่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกรับเงิน 2,000 ล้านบาท แลกกับการดำเนินคดีกับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี เป็นการใช้แหล่งข่าวสร้างวิชามารบีบบังคับให้จัดการกับพระธัมมชโยตามความต้องการของฝ่ายตัวเอง จึงสร้างข้อกล่าวหามาผูกมัดเอาไว้ แต่ข่าวเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับพระธัมมชโยเลย

นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ประกาศจะเล่นงานคนปล่อยข่าวทำลาย คสช. ให้ได้ แต่ รมว.ยุติธรรม คงไม่สามารถรู้ได้ว่า เป็นใคร กลุ่มไหน ดังนั้น ถ้าใช้สติอย่างมีเหตุผล จำแนกแยกแยะว่า ข่าวปล่อยเรียกรับเงิน 2,000 ล้านบาทนั้น ทำให้ใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์แล้ว ย่อมมองเห็นทางได้ชัดเจนว่า มาจากกลุ่มคนที่ต้องการเล่นงานพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายนั่นเอง

"พล.อ.ไพบูลย์ หรือ ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ถ้าลองคิดกันช้าๆ ว่า ใครได้ประโยชน์การปล่อยข่าวเช่นนี้ ถ้ามาจากศิษย์พระธรรมกายแล้ว ตนเชื่อว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข่าวนี้เลย ยกเว้นเป็นศิษย์วัดที่ออกไปแล้วมีปัญหากับวัด การปล่อยข่าวว่า คสช. เรียกเงิน 2,000 ล้านบาทนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากปล่อยข่าวเพื่อบีบให้ คสช.จัดการกับพระธัมมชโย เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตามตามความต้องการของคนพวกนี้ จึงต้องถูกข้อกล่าวหาค้ำคออยู่แล้วว่า เพราะเงิน 2,000 ล้านบาท ใช่หรือไม่ เป็นวิชามารชั้นประถม เพียงยืมมือสื่อมวลชนให้ตั้งคำถาม แล้วกลายเป็นประเด็นมัดรัฐมนตรี คสช. เอาไว้ ดังนั้น การประเมินทางการข่าวที่ออกมานั้น แค่มีสติว่า ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ใครที่พอจะเสี้ยมได้ ซึ่งกรณีนี้ไม่สลับซับซ้อนเลย คนที่ต้องการเล่นงานวัดพระธรรมกายนั่นละที่ปล่อยข่าวออกมาบีบ คสช. เพื่อให้เกิดการพะวาพะวงกับการถูกข้อหาว่า ไปรับเงิน 2,000 ล้านมา พล.อ.ไพบูลย์ จึงไม่อาจไปแจ้งความใครได้ เพราะเป็นข่าวปล่อยที่ต้องการให้เกิดการดำเนินการทางเดียว"

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ (31 พ.ค.) พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัด อ้อน้อย นครปฐม จะไปวัดชนะสงคราม เพื่อยื่นหนังสือต่อเจ้าคณะภาค 1 ให้จัดการกับพระธัมมชโย
แล้วอาจไปดีเอสไอแจ้งความดำเนินคดีตนข้อหาดูหมิ่นพนักงาน แต่หลังจากแจ้งความแล้ว ตนจะพิจารณาเนื้อหาคำร้องก่อน และตั้งใจว่า จะดำเนินคดีกลับเช่นกัน พร้อมกับไปตามทวงการดำเนินคดี 9 ข้อหาในชั้นอัยการสูงสุดด้วยที่ยังไม่ส่งฟ้องไปศาลอาญา ดังนั้น พุทธะอิสระต้องเจอคนอย่างตนจึงเหมาะสมกันที่สุด
ส่วนนายมโน  เลาหวณิช ที่ไปเคลื่อนไหวร่วมกับแก๊ง 3 พ. ประกอบด้วย พุทธะอิสระ นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จึงกลายเป็นขบวการที่มุ่งเล่นงานพระธัมมชโยอยู่ในขณะนี้
นายมโน  มีปูมหลังชีวิตอันน่าสงสัยอย่างยิ่ง เรียนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วมาบวชเป็นพระ มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยพระธัมมชโยออกทุนให้ นอกจากนี้ ยังมีการทำนายว่า คนนี้จะนำความเดือดร้อนมาสู่หมู่คณะ
ในช่วงวัดพระธรรมกายอยู่ระหว่างการสร้างวัดใหม่ๆ นายมโนได้รับการสนับสนุนให้ไปศึกษาต่างประเทศ โดยวัดได้ระดมทุนส่งให้ เพื่อหวังจะได้เผยแพร่พระพุทธศาสนา แต่เมื่อไปปกป้องผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมที่สหรัฐ แล้ว จึงมีแนวทางสวนทาง และขัดแย้งกับวัดพระธรรมกาย จากนั้นจึงลาออกจากวัดปี 2537 แล้วไปอยู่วัดราชโอรสาราม วัดนางชี และวัดนากปรก ทุกวัดที่ไปอยู่ล้วนเกิดความขัดแย้ง แล้วก็เปลี่ยนวัดไปเรื่อย กระทั่งต้องไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ แล้วลาสิกขาออกมาอยู่ทางโลก

นายจตุพร กล่าวว่า นายมโน ได้ไปทำงานที่พรรคชาติไทยอยู่พักหนึ่ง แล้วไปอยู่ นสพ.ผู้จัดการ แล้วหายหน้าไปพักใหญ่ กระทั่งมาอยู่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และต่อมาได้รู้จักกับนายไพบูลย์ จนเคลื่อนไหวร่วมกับแก๊ง 3 พ. ดังนั้น ประวัติของนายมโนจึงน่าสนใจมาก เพราะไม่อาจไปอยู่วัดที่ไหนได้เลย และเขาคิดอะไร ก่อนจะลาสิกขา จึงไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ในสถานภาพของสงฆ์ ซึ่งคนเช่นนี้หรือ อ้างว่า มาปฏิรูปพุทธศาสนา ทั้งที่มีปัญหากับวัดอื่นหมด จนไม่มีวัดให้อยู่ แล้วไปอยู่อพาร์ทเม้นท์
ในสังคมไทยนั้น คนปฏิบัติดีมักจะไม่ทำอะไรใคร ส่วนใหญ่จะนั่งแผ่เมตตาให้ สำหรับพุทธะอิสระแล้ว ตั้งแต่นำผ้าอนามัย กางเกงยีสต์ เสือยึดไปถวายสังฆทานสมเด็จช่วงแล้ว ตนจึงเห็นว่า คนนี้มากไป ไม่นับถือเป็นพระ และเมื่อดีเอสไอมารับฟังอะไรจากคนพวกนี้แล้ว ย่อมดำเนินการผิดมาแต่ต้น เพราะไปหารือกับคู่ปฏิปักษ์เพื่อไปจัดการกับปฏิปักษ์ การทำเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการของหน่วยงานรัฐเลย โดยเอาข้อมูลจากพวกที่มีความอคติและต้องการการล้มสมเด็จช่วง มาเป็นแนวทางทำงานจึงแสดงถึงการไม่ใช้หลักการทางกฎหมายตามที่ประกาศไว้
เมื่อดีเอสไอรับข้อรับเสนอให้สมเด็จช่วงนำกำลังเจ้าหน้าที่ไปจับกุมพระธัมมชโยนั้น ย่อมแสดงว่า ใช้วิธีการที่ผิด โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังออกมาเตือนว่า อย่าดึงสมเด็จช่วงมาเกี่ยวข้อง เพราะการปกครองสงฆ์มีขั้นตอนอยู่แล้ว จึงต้องไปหาเจ้าคณะภาค ดังนั้น การทำงานของดีเอสไอจึงสร้างความคลางแคลงใจให้ประชาชนอย่างมาก
สิ่งน่าสนใจอยู่ที่ พุทธะอิสระถูกคำสั่งศาลให้จ่ายเงินค่าเสียหายกับดีเอสไอในข้อหาพาพวกไปปิดล้อม นอกจากนี้ยังถูกดีเอสไอสอบสวน และส่งสำนวนข้อหาให้อัยการฟ้องศาลดำเนินคดีถึง 9 ข้อหา มีโทษประหารชีวิต ตนจึงสงสัยว่า แล้วดีเอสไอไปฟังความเห็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าดีเอสไอไม่โหมข่าวเตรียมกำลังพล 2,350 นาย ใช้เฮลิคอปเตอร์ เพื่อบุกวัดพระธรรมกายแล้ว ความตึงเครียดย่อมไม่เกิด เพราะการดำเนินการกับความเชื่อทางศาสนานั้นลึกล้ำกว่าความเชื่อทางการเมือง เมื่อยิ่งมีข่าวใช้กำลังพลรวบตัวแล้ว ศิษย์จึงหาทางป้องกันตามแต่ใครจะคิดได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จึงเข้าใจได้ถูกต้องแล้วว่า ควรหลีกเลี่ยงการปะทะ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้องและมีเจตนาไม่สุจริต
ถ้าดีเอสไอทำอย่างตรงไปตรงมา และไม่นำเอาพวกที่เป็นปฏิปักษ์ มีอคติไปร่วมประชุมหารือด้วยแล้ว ความรู้สึกไม่พอใจจะเกิดขึ้นน้อยกว่านี้ แต่การนำนายมโน ไปอธิบายภาพพื้นที่วัดพระธรรมกาย และพุทธะอิสระก็ต้องทำทุกวิถีทาง แต่การดำเนินการแต่ละเรื่องนั้นล้วนมีปัญหากับคณะสงฆ์ทั้งนั้น ด้วยการเสนอปฏิรูปพุทธศาสนา ด้วยการยึดทรัพย์ และยกเลิกสมณศักดิ์ ซึ่งจะทำให้พระมีความเท่ากันหมด และยังมีสมณศักดิ์เสมอกันกับพุทธะอิสระด้วย
"ดีเอสไอ ไปอยู่กับคนเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะคนพวกนี้มาเรียกร้องให้ทำเรื่องต่างๆ ขณะเดียวกันบางเรื่องยังไปเชื่ออีก ทั้งที่จริงแล้ว นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ไพบูลย์ ลองไปด้วยพิจารณาคดีอื่นด้วยว่า การแจ้งข้อกล่าวหาจำเป็นต้องมาสถานทีใดสถานที่หนึ่งหรือไม่ แต่กรณีนี้เมื่อรู้ว่า มีความละเอียด อ่อนไหว แต่กลับไปสร้างความเจ็บแค้นให้กับคน ทั้งๆที่ทางวัดพระธรรมกายยินดีให้เข้ามาแจ้งความ ให้พาแพทย์มาตรวจด้วย หากเขากีดกันไม่ให้แพทย์มาตรวจแล้ว จึงน่าเป็นที่สงสัย และไปทะเลาะกับคน 6 ล้านคน ทำไม"
นายจตุพร กล่าวว่า อัตราโทษของพระธัมมชโยเทียบไม่ได้กับพุทธะอิสระที่มีคดีและมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตเลย แต่ดีเอสไอกลับปล่อยวางเฉยไม่ดำเนินการ แล้วให้เคลื่อนไหวไปทั่ว ดังนั้น ดีเอสไอจึงมีเจตนาน่าสงสัย และเมื่อเตรียมการณ์ใช้กำลังพล โดรน และเฮลิคอปเตอร์ไปบุกวัดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย และไม่จบลงอย่างง่ายเลย

อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้ยึดกฎหมายแล้ว ดีเอสไอควรเอาตามกฎหมายเป็นที่ตั้ง อย่ากระทำการให้เกิดเจตนาคลางแคลงใจ เมื่อดีเอสไอปฏิบัติกับพุทธะอิสระอย่างไร ก็ควรปฏิบัติต่อพุทธะอิสระอย่างนั้น หากดำเนินการด้วยความแตกต่างกันแล้ว ย่อมเป็นหลักคิดที่เกิดปัญหาของดีเอสไอ แต่ควรดำเนินการด้วยใจสุจริต อย่าคิดหักหลังกัน อย่าลับล่วงพราง เรื่องจะจบลงแบบง่ายดาย ไม่มีต้องรับความเสียหายใหญ่หลวงในภายหลัง
ขอบคุณเเหล่งข่าว I see news

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กรณีฟอกเงินธรรมกาย : ฟอกไม่ฟอก ไม่ใช่ จับไม่จับ กรุณาอย่าหลงประเด็น!

อยากให้สังคมได้ลองฉุกคิดกันสักนิดว่า…

ประเด็น คือ ฟอกไม่ฟอก ไม่ใช่ จับไม่จับ

ถ้าจับหลักถูก จะสงสัยเหมือนกันว่ากระบวนการที่เกิดกับหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมันผิดตั้งแต่แรก หรือเปล่า?

ธรรมกาย ธัมมชโย


จึงอยากให้ประชาชนได้พินิจพิจารณาดูสักนิดด้วยใจที่เป็นกลางในเรื่องขอฟอกเงินธรรมกายหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

ขอบคุณ เวปกรณีธรรมกาย




ชัดเจนเเต่ละประเด็น เเผนล้มพระอย่างเป็นระบบในช่วงอายุเรา

ตัวอย่างจะจับสึกพระอย่างเอาเป็นเอาตาย กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น เชื่อมโยง คุณศุภชัย
กับหลวงพ่อธัมมชโย


พระภาวนาพุทโธ กับคดีชำเราเด็กชาวดอย
สุดท้าย ศาลยกฟ้อง เพราะคดีนี้ไม่มีโจทย์


พระพิมลธรรม กับคดีชำเราพระลูกวัด พ้นคดี
ถูกดำเนินตามล่าต่อ ด้วยคดีเป็นคอมมิวนิสต์
ถูกกระชากจีวร ถูกคุมขังอยู่ 4 ปี ก็พ้นคดี
เนื่องจากไม่มี โจทย์เช่นกัน

คดีพระนิกร กับคดีมีความสัมพันธ์กับนางอรปวีณา
ยืดเยื้อ ยาวนาน ทั้งที่นางอรปวีณาออกมาขมาภายหลังว่า
ถูกจ้างวานมา สังคมยังเชื่อ จนถึงวันที่อดีตพระนิกรเสียชีวิต
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตลอดชีวิตเเม้พ้นคดี เเต่ถูกปราชิก
อันหมายถึง ตายไปเเล้วจากความเป็นพระ
จึงไม่สามารถบวชใหม่ได้อีก

พระยันตระ กับคดีมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคน
ทั้งไทยเเละเทศ รูดการ์ดเข้าสถานบันเทิงต่างเเดน
เเละที่สุดคือ มีความสัมพันธ์กับหญิงไทยคนหนึ่งจนขั้นมีลูกด้วยกัน
เมื่อยืนยันไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากกลัวถูกระบบการตรวจสอบ
ไม่โปร่งใส อาจมีการสลับผลตรวจได้
ทุกวันนี้ คนในสังคมส่วนใหญ่รับรู้ เเละรับทราบเเล้วว่าท่านบริสุทธ์

องค์เเล้วองค์เล่า ที่พระผู้ทำความรุ่งเรืองให้พระพุทธศาสนา
ต้องถูกสกัดด้วยเเผนล้มพุทธ
ใช้จุดอ่อนของคนไทย มาเปั่นกระเเสสังคม

พยายามขับไล่พระไปอยู่ป่า
หากเป็นพระเมืองต้องอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มคนบางกลุ่มที่
เเสวงหาผลประโยชน์

เมื่อไหร่จะหยุดซักที พวกเเมลงสังคมที่กัดกร่อนใจคนให้ฟอนเฟะ
หยุดดราม่าสักทีเถอะเมืองไทย

อย่าสนุกกับการดูละครเพื่อความสะใจ
หากอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
ถูก ผิด ดี ชั่ว นั้นให้สติปัญญาตรอง
อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่ได้ ยิน ได้ฟัง ได้ดู เเต่ยังไม่ได้ตรอง
ไม่เช่นนั้น

คงจะไม่มีศาสนาพุทธอีกต่อไปในประเทศไทย

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รวมสื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
    ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ปีที่ 14 ฉบับที่ 4655 วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2544

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่รายการสาระขันได้ทำการแพร่ภาพ เกี่ยวกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์และวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2542, 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2542 และวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2542 อันภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนใน 3 วันดังกล่าว ทำให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และวัดพระธรรมกายได้รับความเสียหาย

   ซึ่งรายการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทางคณะผู้บริหาร บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และนายกฤษณะ ไชยรัตน์ ผู้จัดทำรายการ รู้สึกเสียใจและขออภัยต่อวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ในสิ่งที่เกิดขึ้น และขอขอบพระคุณวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่ไม่ได้ติดใจดำเนินคดีใดๆ กับ
บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด คณะผู้บริหารบริษัท นายกฤษณะ ไชยรัตน์ ทั้งทางอาญาและทางแพ่งอีกต่อไป


สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย


ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ปีที่ 14 วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2544 หน้า 11
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่รายการสาระขันได้ทำการแพร่ภาพ เกี่ยวกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์และวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2542, 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2542 และวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2542 อันภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนใน 3 วันดังกล่าว ทำให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และวัดพระธรรมกายได้รับความเสียหาย

   ซึ่งรายการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทางคณะผู้บริหาร บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และนายกฤษณะ ไชยรัตน์ ผู้จัดทำรายการ รู้สึกเสียใจและขออภัยต่อวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ในสิ่งที่เกิดขึ้น และขอขอบพระคุณวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่ไม่ได้ติดใจดำเนินคดีใดๆ กับ
บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด คณะผู้บริหารบริษัท นายกฤษณะ ไชยรัตน์ ทั้งทางอาญาและทางแพ่งอีกต่อไป
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย


ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2544


สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐได้ลงข่าวเกี่ยวกับกรณีของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) และนายถาวร พรหมถาวร กรณีที่ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาที่ศาลอาญา ระหว่าง พนักงานอัยการ โจทก์ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ กับพวกรวม 2 คน จำเลย โดยได้ลงข่าว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2543 แสดงเหตุการณ์ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญา เป็นเหตุให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32(2) และมาตรา 33 นั้น

     หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขออภัยต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต่อการกระทำดังกล่าว และยอมรับว่าข้อความที่ลงตีพิมพ์มีข้อความส่วนไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ฟังการพิจารณาของศาลอาจเข้าใจผิดได้ หนังสือพิมพ์สยามรัฐจึงขออภัยมายัง ณ ที่นี้ และ
ขอประกาศว่าข้อความที่ลงพิมพ์ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2543 เป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

     และหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขอบพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่อภัยทาน ให้มา ณ ที่นี่ จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน


สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์สายมรัฐได้ลงข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) กรณีเรื่องการถือครองที่ดินที่ได้รับบริจาค เรื่องราวนิคหกรรม เรื่องราวคำสอนว่าบิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า การอวดอุตริมนุสธรรม ทำความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง หลอกลวงประชาชน กระทำการในตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานที่ไม่เหมาะสม ต้องอาบัติปาราชิก เรียกวัดพระธรรมกายว่าวัดฉาว นำเงินบริจาคไปดำเนินการนอกวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค หลอกขายพระดูดทรัพย์ หลอกขายบุญ เป็นวัดที่มีอิทธิพลเหนือองค์กรและเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่าเป็นอลัชชี เดียรถีย์ พระปลอมจอมมาร นายไชยบูลย์ พระฉาว ศาสดาลูกแก้ว พระนอกรีด ภิกษุมหาโจร เจ้าอาวาสวัดฉาว มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหญิงสาว โดยลงข้อความและข่าวในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ.2543 โดยการดังกล่าวไม่เป็นความจริงและเป็นความเห็นของหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอง เป็นเหตุให้วัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 91, 326, 328, และ332

     บริษัท สยามรัฐ จำกัด ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต่อการกระทำดังกล่าว และยอมรับว่าข้อความที่ลงตีพิมพ์ไม่ตรงกับความจริง ทำให้ประชาชนทั่วไป ที่ไม่ทราบความจริงอาจเข้าใจผิดได้ ข้อความที่ลงตีพิมพ์ในช่วงเดือน สิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนมกราคม พงศ.2543 เป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

     และหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขอบพระคุณวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่อภัยทานให้มา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
 
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ปีที่ 52 ฉบับที่ 17691 วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2544 หน้า 13

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่นิตยสารสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับปีที่ 46 ฉบับที่ 13 ประจำวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม ถึงวันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2542 ในภาพหน้าปกได้นำภาพใบหน้าของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ มาตัดต่อกับภาพบุรุษเปลือยกายนั่งขัดสมาธิ(Meditation)บนตะปู อยู่ในอาการของการทรมานตน และมีข้อความว่า "ทณฑํ สรณํ คจฉามิ" เพื่อให้ผู้พบเห็นเชื่อว่าเป็นภาพพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ซึ่งไม่เป็นความจริง พระราชภาวนาวิสุทธิ์ไม่เคยถ่ายภาพหรือกระทำลักษณะอาการดังกล่าว เป็นเหตุให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้รับความเสียหาย

    บริษัท สยามรัฐ จำกัด ในฐานะเจ้าของนิตยสารสยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ และนายศักดา นพเกตุ ขอกราบขอขมาต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ในการกระทำดังกล่าว และขอกราบขอบพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่อภัยทานให้มา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

     และในบทนำของนิตยสารฉบับดังกล่าวในคอลัมน์ เปิดขบวนที่เขียนโดยนายศักดา นพเกตุ ได้ตีพิมพ์ข้อความจาบจ้วงล่วงเกินพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่า "ชาวธรรมกายและเหล่าพระปลอมจอมมาร คงลิงโลดลำพองหัวใจเป็นอย่างยิ่งที่พระปลอมจอมมารได้รับประกันตัว" ซึ่งความจริงแล้วพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นพระที่แท้จริง ปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัย ด้วยดี และได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ปีที่ 52 ฉบับที่ 17691 วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2544
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

     โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตาม ที่นิตยสารสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับปีที่ 46 ฉบับที่ 13 ประจำวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม ถึงวันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2542 ในภาพหน้าปกได้นำภาพใบหน้าของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ มาตัดต่อกับภาพบุรุษเปลือยกายนั่งขัดสมาธิบนตะปู อยู่ในอาการของการทรมานตน และมีข้อความว่า "ทณฑํ สรณํ คจฉามิ" เพื่อให้ผู้พบเห็นเชื่อว่าเป็นภาพพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ซึ่งไม่เป็นความจริง พระราชภาวนาวิสุทธิ์ไม่เคยถ่ายภาพหรือกระทำลักษณะอาการดังกล่าว เป็นเหตุให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้รับความเสียหาย

    บริษัท สยามรัฐ จำกัด ในฐานะเจ้าของนิตยสารสยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ และนายศักดา นพเกตุ ขอกราบขอขมาต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ในการกระทำดังกล่าว และขอกราบขอบพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่อภัยทานให้มา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

     และในบทนำของนิตยสารฉบับดังกล่าวในคอลัมน์ เปิดขบวนที่เขียนโดยนายศักดา นพเกตุ ได้ตีพิมพ์ข้อความจาบจ้วงล่วงเกินพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่า "ชาวธรรมกายและเหล่าพระปลอมจอมมาร คงลิงโลดลำพองหัวใจเป็นอย่างยิ่งที่พระปลอมจอมมารได้รับประกันตัว" ซึ่งความจริงแล้วพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นพระที่แท้จริง ปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัย ด้วยดี และได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ปีที่ 52 ฉบับที่ 17710 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2544 หน้า 13
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

    โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์สายมรัฐได้ลงข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนา วิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) กรณีเรื่องการถือครองที่ดินที่ได้รับบริจาค เรื่องราวนิคหกรรม เรื่องราวคำสอนว่าบิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า การอวดอุตริมนุสธรรม ทำความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง หลอกลวงประชาชน กระทำการในตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานที่ไม่เหมาะสม ต้องอาบัติปาราชิก เรียกวัดพระธรรมกายว่าวัดฉาว นำเงินบริจาคไปดำเนินการนอกวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค หลอกขายพระดูดทรัพย์ หลอกขายบุญ เป็นวัดที่มีอิทธิพลเหนือองค์กรและเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่าเป็นอลัชชี เดียรถีย์ พระปลอมจอมมาร นายไชยบูลย์ พระฉาว ศาสดาลูกแก้ว พระนอกรีด ภิกษุมหาโจร เจ้าอาวาสวัดฉาว มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหญิงสาว โดยลงข้อความและข่าวในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ.2543 โดยการดังกล่าวไม่เป็นความจริงและเป็นความเห็นของหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอง เป็นเหตุให้วัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 83, 84, 91, 326, 328, และ 332

     บริษัท สยามรัฐ จำกัด ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต่อการกระทำดังกล่าว และยอมรับว่าข้อความที่ลงตีพิมพ์ไม่ตรงกับความจริง ทำให้ประชาชนทั่วไป ที่ไม่ทราบความจริงอาจเข้าใจผิดได้ ข้อความที่ลงตีพิมพ์ในช่วงเดือน สิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนมกราคม พงศ.2543 เป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

     และหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขอกราบขอบพระคุณวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่อภัยทานให้มา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
 
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์มติชน
ปีที่ 25 ฉบับที่ 8888 วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2545

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

    โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2542 ได้ลงข่าวว่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ได้รู้เห็นเป็นใจกับวัดธรรมกายในการกว้านซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนจำนวน 700 ไร่ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติควนจุก มีการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3ก. อย่างไม่โปร่งใสให้แก่วัดธรรมกาย ข่มขู่ให้ชาวบ้านขายที่ดินแก่วัดธรรมกายเพื่อสร้างรีสอร์ทใกล้มัสยิด ขุดดินปะการังโดยใช้แมคโครนำมาตกแต่งรีสอร์ท ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเลและขุดสระกักเก็บน้ำ ทำให้ชาวบ้านขาดแคลนน้ำนั้น ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นการเข้าใจผิดของนายโชติ ทองย้อย ที่ให้ข่าวผิดพลาดกับหนังสือพิมพ์ดังกล่าว

     บัดนี้้ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันได้ หนังสือพิมพ์มติชนขอแก้ข่าวให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 และวัดธรรมกาย ไม่ได้กระทำการดังกล่าวแต่อย่างใด

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์มติชน
ปีที่ 26 ฉบับที่ 9262 วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2546
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

    โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวัพระธรรมกายฯ และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) กรณีเรื่องราวใช้ถ้อยคำล่วงเกินโดยเรียกวัดพระธรรมกายว่า วัดฉาว สำนักฉาว เรียกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่า นายไชยบูลย์ เจ้าสำนักฉาว กล่าวหาว่าเล่นหุ้น โอนเงินของวัดให้สีกา โดยตีพิมพ์ข้อความในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2542 ทั้งๆที่โจทย์ยังอยู่ในสมณศักดิ์

     หนังสือพิมพ์มติชน และนายสุชาติ ศรีสุวรรณ ในฐานะบรรณาธิการ ขอยอมรับว่าข้อความที่ตีพิมพ์คลาดเคลื่อน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จนได้รับความเสียหาย จึงขออภัยต่อวัดพระธรรมกาย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และขอขอบพระคุณที่อภัยทานมา ณ โอกาสนี้

สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
ประกาศขอขมาจาก หนังสือพิมพ์มติชน
ปีที่ 26 ฉบับที่ 9263 วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2546
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย
สื่อประกาศขอขมาต่อวัดพระธรรมกาย

    โดยมีเนื้อความประกาศ ดังนี้ ตามที่หนังสือพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวัพระธรรมกายฯ และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) กรณีเรื่องราวใช้ถ้อยคำล่วงเกินโดยเรียกวัดพระธรรมกายว่า วัดฉาว สำนักฉาว เรียกพระราชภาวนาวิสุทธิ์ว่า นายไชยบูลย์ เจ้าสำนักฉาว กล่าวหาว่าเล่นหุ้น โอนเงินของวัดให้สีกา โดยตีพิมพ์ข้อความในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2542 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2542 ทั้งๆที่โจทย์ยังอยู่ในสมณศักดิ์

     หนังสือพิมพ์มติชน และนายสุชาติ ศรีสุวรรณ ในฐานะบรรณาธิการ ขอยอมรับว่าข้อความที่ตีพิมพ์คลาดเคลื่อน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดวัดพระธรรมกาย และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จนได้รับความเสียหาย จึงขออภัยต่อวัดพระธรรมกาย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และขอขอบพระคุณที่อภัยทานมา ณ โอกาสนี้







ระหว่างเดินทางไปพบอัยการ
ขณะที่นั่งในรถตู้อยู่บนทางด่วน มีรถนักข่าวช่องต่างๆขับมาประกบ
พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะถ่ายภาพเข้ามาในรถ
คนขับรถของนักข่าว  นักข่าวเเละตากล้อง ทำหน้าที่กันอย่างเอาเป็นตาย
ไม่กลัวอุบัติเหตุเลย
หรือว่าเขาอยากให้เกิดอุบัติเหตุ  เพื่อจะได้มีข่าวพิเศษเพิ่มขึ้นมาก็ไม่รู้
เเต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเเล้ว ใครกันจะเป็นผู้รับผิดชอบ คงไม่มีเเน่นอน
ดังนั้นเราต้องระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจะเป็นการดีที่สุด
นั่งรถไปมองเห็นหลวงพ่อเเล้ว รู้สึกเหนื่อยกาย  เหนื่อยใจ เเทนท่านอย่างมาก
อยากให้วันนี้ผ่านไปเร็วๆ
รถขับมาถึงด้านหน้าตึกศาล ทำไมต้องมาที่นี่ก่อนก็ไม่รู้
ทั้งนักข่าว  ตากล้อง หนังสือพิมพ์ ตากล้องโทรทัศน์ทุกช่อง
ต่างก็ระดมถ่ายภาพกันอุตลุด

ทุกคนมองมาที่หลวงพ่อใครต่อใครรู้สึกกันอย่างไรบ้างไม่รู้
เเต่พอมองจากจุดหลวงพ่อไปยังทุกคน  ผมรู้สึกสงสาร
ถ้ามองในเเง่ดีก็เป็นภาพที่เเปลกตา
เเปลกอย่างบอกไม่ถูก
อยากบันทึกภาพถ่ายรูปนี้เก็บไว้ดู
ดูรูปคนที่เเย่งๆกัน ดูเเล้วยิ่งเกิดความสงสาร

ว่าเเล้วก็สามารถถ่ายภาพนี้ได้สำเร็จ
เจอพี่จำปียืนอยู่ใกล้ๆพี่เขามีกล้องติดมาด้วยพอดี
เลยขอยืมกล้องป๊อกเเป๊กของพี่เขาเเล้วถ่ายสวนกลับไปยังกลุ่มนักข่าว

เเชะ!เเชะ!  ได้มา 2 เเชะ เเต่เเล้วก็เกือบมีเรื่อง
เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำศาลรีบกรูกันเข้ามายังตัวผม เเล้วตะคอกถามผมว่า

"คุณเป็นใคร?"
"เข้าห้ามถ่ายภาพในนี้"



ขอบคุณ  บันทึกอุปัฏฐาก
               โค้ก อลงกรณ์  สถาปิตานนท์


บันทึกวันไปศาล ได้บันทึกสั้นๆไว้เพียงเเค่นี้
บ่งให้เห็นถึงความห่วงใย กังวล ปนความไม่เข้าใจ ซึ่งคนที่จะเข้าใจได้
คงเป็นใครสักคน ที่เป็นลูกที่รักเเละดูเเลพ่อเเม่ มาเป็นอย่างดี
เเล้ววันหนึ่งก็มีใครสักคน พยายามจะทำร้าย พ่อเเม่ที่ป่วยเเละชราของเรา
ไม่ว่าทางร่างกาย หรือจิตใจ
หัวใจคนเป็นลูกที่ไม่ทางต่อสู้ ได้เเต่เฝ้าท่าน ติดตามอย่างใกล้ชิด
เเละคอยให้วันเวลาที่เลวร้าย สับสนนี้ผ่านไปโดยไว
พี่โค้ก ไม่ได้มีตำเเหน่งใดๆ ทางโลก
เป็นเพียงอดีตเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตัดสินใจเข้ามาทางธรรม
เนื่องจากเกิดความศรัทธาในพุทธศาสนาที่ทางบ้านได้พาเข้าวัดตั้งเเต่เล็กๆ
จนเมื่อจบภารกิจการเรียนทางโลก เเละการทำงานได้ซักพัก
ก็ได้ขออนุญาตทางบ้าน มาอยู่ในเส้นทางทางธรรม
ที่ตัวเองทำเเล้วมีความสุข
เเละด้วยความเมตตา จากพระผู้ใหญ่ที่เห็นความตั้งใจในการฝึกตัว
จึงได้รับมอบหมายให้มาดูเเลอุปัฏฐาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสที่กำลังป่วย
นานนับสิบๆปีที่พี่โค้ก ทำหน้าที่ดูเเลผู้ป่วยที่ไม่ยอมป่วย
ยังคงทำงานหนัก เเละคงจะหนักกว่าคนปกติหลายๆคนด้วยซ้ำ
บันทึกของพี่โค้ก จึงถือเป็นพยานหลักฐานได้เป็นอย่างดี
ถึงชีวิตประจำวัน เหตุการณ์ต่างๆ ลักษณะอุปนิสัย วิธีปฏิบัติตัวของหลวงพ่อได้เป็นอย่างดี
เเละเชื่อว่า ถ้ายิ่งใกล้ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
คนที่มีการศึกษาสูง ฐานะดี รูปสมบัติพร้อมอย่างพี่โค้ก
คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้
บันทึกวันนี้ คงจบที่ความรู้สึกที่ไม่อยากบันทึกเหตุการณ์ที่ศาล
เเต่อีกวัน เราจะได้เห็นเหตุการณ์หลังจากไปศาล


ที่ใครๆอยากจะรู้ ว่าทำไม
จึงไม่ควรให้หลวงพ่อไปรายงานตัว





เหตุผลที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังไม่ไปมอบตัวสู้คดี


1.ขอใช้สิทธิ์อาการป่วย ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้ ท่านป่วยมาตลอด 10กว่าปีแล้ว อาการหนักบ้าง ดีขึ้นบ้าง เป็นบางช่วง ด้วยอาการป่วยนี้ ทำให้ท่านไม่สามารถเดินทางออกจากวัดมา 10กว่าปีแล้ว แต่ DSI ไม่ให้สิทธิ์นั้น


2.เหล่าศิษย์ คลางแคลงใจ ในการทำงานของของDSI เพราะที่ผ่านมาได้ให้ DSI มาตรวจสอบคดีและมาพิสูจน์อาการป่วยที่วัด DSI ไม่ยอมมาพิสูจน์ที่วัดแม้เพียงครั้งเดียว
พอถามรองผอ.DSI ว่าทำไมไม่ไปพิสูจน์ที่วัด ?
กลับตอบว่า “เอ่อ....ผมไม่ขอตอบครับ
??????
นอกจากไม่ไปพิสูจน์ที่วัดแล้ว ยังไม่ตอบเหตุผลด้วย

พระพิมลธรรม
3. สถาบัน DSI มีอำนาจตามกฎหมายที่สามารถจับพระสึกก่อนขังคุกก่อนแล้วค่อยตัดสินทีหลังได้ แม้ไม่มีความผิดอะไรกฎหมายนี้มีจริงๆ(ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๑ และ พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา ๒๙) และเคยใช้กับพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์มาแล้ว เช่น พระพิมลธรรมถูกจับสึกติดคุกฟรี 5 ปี คิดว่าลูกศิษย์วัดเป็นแสนคนจะยอมรับมั้ยละครับ ?



4. ได้ยินมาว่า DSI ทำคดีนี้ตามใบสั่ง การล้มล้างวัดพระธรรมกาย จากผู้มีอำนาจที่หนุนพุทธอิสระจริงหรือไม่ขนาด ผอ.DSI คนก่อนที่อาจหาญไปทำคดีพุทธอิสระ ยังเอาตัวไม่รอด พอขั้วอำนาจเปลี่ยน ตอนนี้ ไม่รู้จะติดคุกมั๊ย ต้องรอดู และ DSI ชุดใหม่ก็เล่นงานวัดพระธรรมกาย อย่างขยันขันแข็งอย่างมาก ?

ขอบคุณเเหล่งข้อมูล     Olivia Armando


คดีวัดพระธรรมกาย เป็นมาอย่างไร ??
21 มิถุนายน 2556 DSI ตั้งข้อหาคุณศุภชัย ร่วมกันยักยอกทรัพย์ มูลค่าความเสียหาย จำนวน 13,334.15 ล้านบาท รับเป็นคดีพิเศษที่ 146/2556

คดีพิเศษที่ 146/2556
ข้อหา      กรณีสั่งจ่ายเช็ค เอาเงินออกจากสหกรณ์และยักยอกทรัพย์
จำเลย     คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร
พยาน     พระเทพญาณมหามุนี


คดีนี้ หลวงพ่อเป็นพยาน
13 พฤศจิกายน 2558 DSI ส่งสำนวนการสอบสวนในคดี 146/2556 ทั้งหมดไปให้อัยการ โดยมีพยานหลักฐานในคดีประกอบด้วยเช็คจำนวน 878 ฉบับ ในจำนวนนี้เป็นเช็คที่เกี่ยวข้องกับพระเทพญาณมหามุนี จำนวน 11 ฉบับ ยอดเงิน 387,160,000 บาท
โดย DSI เสนอฟ้องหลวงพ่อเป็นผู้ต้องหาร่วมกับคุณศุภชัย !!!
DSI ต้องการให้หลวงพ่อเป็นผู้ต้องหา

แต่แล้วอัยการสั่งให้ฟ้องเฉพาะคุณศุภชัยเท่านั้น
สำหรับหลวงพ่อ อัยการมีคำสั่งว่า หาก DSI สามารถหาพยานหลักฐานมาเอาผิดเพิ่มเติมได้ ให้ส่งพยานหลักฐานนั้นมาที่อัยการเพื่อให้อัยการพิจารณาต่อไป
นั่นคือ คดี 146/2556 หลวงพ่อเป็นพยาน และหากมีหลักฐานเพิ่มเติมให้ DSI นำส่งอัยการ สรุปว่า หลวงพ่อไม่เกี่ยว !!!!

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 DSI มาสอบสวนพยานหลวงพ่อที่วัดพระธรรมกายเพิ่มเติม เพื่อหาหลักฐาน
หลวงพ่อไม่ทราบที่มาของเช็คแต่อย่างใด 

ซึ่งเป็นความจริง ก็เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อไม่ทราบที่มาของเงิน
แต่ !!!
มีแมลงสาบบางตัว ออกมาเสนอหน้าว่า หลวงพ่อจะไม่ทราบได้อย่างไร
หลวงพ่อทราบที่มาของเงินทั้งหมด !!!

โถๆๆ พระต้องถามโยมไหมว่า ไปเอาเงินจากไหนมาทำบุญ
สงสัยโยมได้ยกเงินกลับบ้านกันหมด

แมลงสาบเหล่านั้น ยังอ้างว่า เงินตั้งหลายร้อยล้าน จะไม่ถามเลยเหรอว่าเอาเงินมาจากไหน ???
คุณศุภชัย บริจาคเงินครั้งหนึ่งๆ เป็นหลักหลายสิบล้านก็จริง
แต่ไม่ใช่มีเพียงคุณศุภชัยที่ทำบุญหลักสิบล้าน !!
คุณศุภชัย ไม่ได้ถวายปัจจัยหลวงพ่อแต่เพียงลำพังส่วนตัว แต่ถวายร่วมกับเจ้าภาพท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน

ยังมีลูกศิษย์วัดอีกจำนวนมากมายที่ทำบุญมากกว่าคุณศุภชัย !!
คุณศุภชัยเป็นเพียงเจ้าภาพรายหนึ่งของวัดเท่านั้น !!
หลวงพ่อไม่ทราบที่มาของเงินจากคุณศุภชัย ว่านำเงินมาจากไหน
DSI ได้รวบรวมหลักฐานจากทางวัดเป็นที่เรียบร้อย
แท้จริงแล้ว ขั้นตอนนี้ DSI ต้องนำสำนวนและหลักฐานที่ได้จากวัดพระธรรมกายนำส่งอัยการ
แต่ DSI หาได้ทำเช่นนั้นไม่ !!!

DSI ตั้งคดีพิเศษที่ 27/2559
ข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร
จำเลย พระเทพญาณมหามุนี, คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร, 
คุณศศิธร โชคประสิทธิ์
และหาโจทก์ คือ นายธรรมนูญ อัตโชติ

ธรรมนูญ อัตโชติ จะเดือดร้อนทำไม ในเมื่อสหกรณ์ไม่ติดใจคดีทั้งทางแพ่งและอาญา  เหตุใดมาฟ้องหลวงพ่อ ทำไมไม่ไปฟ้องสหกรณ์ เพราะทางวัดก็เยียวยาเงินให้สหกรณ์ไปแล้ว


DSI ออกแถลงข่าว เตรียมตั้งข้อกล่าวหาและออกหมายเรียกหลวงพ่อในฐานะผู้ต้องหา

18 ก.พ. 2559 ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากหลวงพ่อ ได้ส่งหนังสือไปสอบถามอัยการว่า
DSI มีสิทธิ์ที่จะแยกเป็นอีกคดีหนึ่งหรือไม่ ?

ในวันเดียวกัน อัยการตอบมาว่า ไม่สามารถฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งได้
 ทนายวัด จึงทำหนังสือชี้แจงคำตอบของอัยการไปแจ้งที่ DSI กรณีฟ้องผิดขั้นตอน !!
DSI ไม่มีสิทธิ์ตั้งคดีใหม่ ตั้งแต่ต้น !! ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนตามกฎหมาย

 29 มีนาคม 2559  DSI ออกหมายเรียกหลวงพ่อ ครั้งที่ 1 ในฐานะผู้ต้องหาเพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยไม่สนใจคำคัดค้านที่วัดส่งหนังสือไปให้
ทนายฯ ขอเลื่อนเพื่อจัดงานบุญวันที่ 22 เมษายน 2559
DSI อนุมัติให้เลื่อนเป็นวันที่ 25 เม.ย. 2559


25 เมษายน 2559 ครบกำหนดตามหมายเรียก
ทนายฯ ร้องขอเลื่อนเนื่องจากหลวงพ่อป่วยรุนแรง

 DSI ไม่สนใจคำร้องเรียน รีบร้อนไปขอศาลอาญาเพื่ออนุมัติหมายจับ 


แต่ศาลอาญาไม่อนุมัติเนื่องจากเห็นว่า หลวงพ่อป่วยจริงและไม่คิดหลบหนี


16 พฤษภาคม 2559  เป็นวันที่  DSI จึงออกหมายเรียกครั้งที่ 2

16 พฤษภาคม 2559 ทนายฯ ขอเลื่อนอีกครั้ง เนื่องจากอาการอาพาธรุนแรง และส่งหลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนที่เชื่อถือได้ให้ DSI
DSI ไม่สนใจ ไม่เชื่อ และไม่ส่งหมอมาตรวจหลวงพ่อที่วัด แต่วิ่งไปศาลขออนุมัติหมายจับ !!
ชอบธรรมแล้วหรือ เหตุใด DSI ไม่มาพิสูจน์ทราบ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ !!
DSI ไม่นำหลักฐานจากทางวัดประกอบคำร้องให้ศาล มีเจตนาต้องการจะให้ศาลออกหมายจับหลวงพ่อให้ได้
DSI ทำถูกแล้วหรือ ?? DSI จงใจที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ !!! นำหลักฐานส่งศาลโดยขาดความยุติธรรม !!

ไม่เพียงเท่านั้น DSI กลับออกสื่อ เบี่ยงประเด็นเรื่องใบรับรองแพทย์ ว่า หมอไม่ได้ขออนุญาตโรงพยาบาล !!!!แมลงสาบทั้งหลายวิ่งออกมาเต้นกันใหญ่ หลวงพ่อป่วยไม่จริง หลวงพ่อจะหนีไปต่างประเทศ !!!!
DSI บ่ายเบี่ยง !! ไม่ต้องการรับทราบว่าหลวงพ่อป่วยและไม่สามารถเดินทางออกนอกวัดได้ 

17 พฤษภาคม 2559 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับหลวงพ่อ !! แต่ DSI ให้หลวงพ่อมอบตัวก่อนวันที่ 26 พฤษภาคม หากไม่มามอบตัวจะบุกเข้าจับกุม !
แล้วเหตุใดก่อนออกหมายจับ DSI  จึงไม่ส่งหมอมาตรวจหลวงพ่อ

มันเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว
ตอบง่ายหนิ !!

นี่เค้าเรียกว่า เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 83 มาตรา 86
มาถึงวันนี้ !!  DSI ไม่สนใจหลักฐานที่ทางวัดนำแสดง มุ่งแต่จะจับหลวงพ่อเพียงอย่างเดียว เตรียมนำกองกำลัง 1000 นาย ทั้งรถหุ้มเกราะบุกค้นวัด
แล้วหลวงพ่อมีความผิดอะไร ?? ฟอกเงิน ?? รับของโจร ??
ฟอกเงิน คือ ผู้ฟอกได้รับเงินผิดกฎหมายแล้วนำไปทำให้เงินนั้นถูกกฎหมายและได้เงินกลับคืนมา
หากคุณศุภชัยได้เงินมาผิดจริง แล้วนำเงินมาบริจาค คุณศุภชัยต้องได้เงินนั้นกลับคืนมา !!
แต่เงินที่เกิดจากเช็คทั้ง 10 ฉบับที่ได้ถวายหลวงพ่อไป ถูกนำไปก่อสร้างศาสนสถานทั้งหมด ไม่ได้มีการถอนเป็นเงินสด หรือว่าให้คืนคุณศุภชัยเลย !!!
แล้วอย่างนี้หลวงพ่อจะเป็นผู้ร่วมฟอกเงินได้อย่างไร ??
แล้วรับของโจรหละ ? ไม่ทราบว่านำโจรมาจากคดีไหน ?
ใครเป็นโจร ถ้ารับของโจรผู้รับต้องทราบที่มาของเงิน ว่านำมาด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย และมีเจตนารับเงินนั้น
แต่หลวงพ่อไม่ทราบ !! ตามที่ได้อธิบายไปแล้ว
หลวงพ่อรับอย่างเปิดเผย รับเป็นเช็ค สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ทั้งหมด
สมมติว่า ถ้าคุณเป็นหลวงพ่อ คุณทราบที่มาของเงินว่าผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนจะโง่ รับเงินนั้นเป็นเช็ค ??? เพราะเช็คถูกตรวจสอบได้
ถ้าจะรับของโจรเหตุใดไม่รับเป็นเงินสด ???
หลวงพ่อรับเป็นเช็ค รับอย่างเป็นเผยต่อหน้าสาธารณะ

แสดงเส้นทางการเงินได้ชัดเจน นั่นคือหลวงพ่อบริสุทธิ์ใจในการรับและท่านก็ไม่ทราบที่มาของเงินด้วย !!!
การรับบริจาคจะเรียกว่ารับของโจรอย่างนั้นหรือ ??
หลวงพ่อบริสุทธิ์ ทั้งเรื่องฟอกเงิน และรับของโจร แต่เหตุใด DSI จึงไม่สนใจความจริง มุ่งแต่จะจับหลวงพ่อเพียงอย่างเดียว !!!
ทั้งที่จริงแล้ว คดี 27/2559 นี้ ผิดขั้นตอนตั้งแต่ต้น !!
ดังนั้นจึงไม่ควรมีคดีนี้เกิดขึ้นแก่หลวงพ่อเลย !!!
นี่หรือกระบวนการยุติธรรมที่ DSI กำลังหยิบยื่นให้หลวงพ่อ
ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น (ปี52) คุณศุภชัยก็ได้บริจาคเพื่อสร้างสาธารณะประโยชน์มากมาย เช่น โรงพยาบาล สถานศึกษา วัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่วัดพระธรรมกาย ฯลฯ
เหตุใด เฉพาะวัดพระธรรมกาย ถึงโดนข้อหารับของโจรเพียงที่เดียว ?? ทั้งๆ ที่ทางวัดสามารถแจกแจงเส้นทางเช็คได้อย่างโปรงใส
เช็คของสหกรณ์คลองจั่นทั้งหมดที่ออกไป มีถึง 13,300 ล้านบาท
เหตุใด DSI จึงสนใจเฉพาะเช็คของวัดเพียง 300 กว่าล้านเท่านั้น !!!

ทำไม ! นี่หรือความชอบธรรม ?
DSI ทำผิดขั้นตอนเรื่องการตั้งคดี 27/2559 !!

DSI ต้องการประจานหลวงพ่อว่าเป็นผู้ต้องหา โดยการออกสื่อต่างๆ เรื่องหมายเรียกหลวงพ่อ ซ้ำร้ายยังมีหมายเรียกหลุดไปถึงมือสื่อมวลชนก่อนที่ทางวัดจะได้รับหมายเรียกนั้นเสียอีก !!
DSI ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ยอมส่งหมอเข้ามาตรวจอาการหลวงพ่อที่วัด ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน !!
DSI ออกสื่อบ่ายเบี่ยงประเด็นต่างๆ นานา เพื่อหาความชอบธรรมจากสังคมในการเข้าจับกุมหลวงพ่อ !!

นี่หรือ DSI ที่ผดุงความเป็นธรรม ?
ทำไมถึงอยากจับกุมพระผู้เฒ่าอายุ 72 ปี ถึงเพียงนี้ ?
มาถึงวันนี้ ! จะเกิดอะไรขึ้นต่อ หาก DSI นำกำลังพร้อมอาวุธครบมือบุกวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีแต่สาธุชนที่ไร้อาวุธ ไร้ทางต่อสู้  มุ่งแต่ทำความดี
แผ่เมตตาเพียงอย่างเดียว ??
วัดพระธรรมกายกำลังถูกรังแกด้วยความไม่เป็นธรรม ทำไม DSI  มุ่งจับกุมหลวงพ่อทั้งๆ ที่เรื่องอื่นๆ ในประเทศใหญ่โตกว่ามากไม่ยอมไปทำ ?
หรือมีมือที่อยู่เบื้องหลังที่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ?


วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559





จันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542
วันนี้หลวงพ่อเขียนบอกว่า
  • ตื่นมาไอทั้งคืน เลยเจ็บอก
  • เเสดงว่ายังดีไม่เต็มที่  เเต่คงดีขึ้น เพราะได้กำลังใจจากทุกคน
           อายุ วัณโณ สุขัง พลัง
                  4 ต.ค.42
         ...................................
ตั้งความหวังไว้ว่า อาการหลวงพ่อจะต้องดีวันดีคืนอย่างเเน่นอน
จึงได้นัดซินเเสให้มาเเมะหลวงพ่อในตอนบ่าย

ก่อนหน้าที่ซินเเสจะเข้ามาเเมะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาหมอ 3 ท่าน
จากโรงพยาบาลเเห่งหนึ่งเข้ามาพบหลวงพ่อในกุฎิ

ตำรวจไม่ได้พาหมอมารักษา เเต่พามาตรวจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าหลวงพ่อป่วย
ทั้งๆที่มีใบรับรองเเพทย์ขออนุญาตเลื่อนการเดินทางที่จะไปพบอัยการออกไปก่อน

เเล้วเขาก็ให้คุณหมอคนที่มีอายุน้อยที่สุดมาจับชีพจร ดูตาหลวงพ่อ
ให้หลวงพ่ออ้าปากเเล้วส่องไฟฉายเข้าไปข้างในปาก ซึ่งได้ทราบภายหลังว่า
คุณหมอท่านนี้เป็นหมอทางโรคผิวหนัง

พอตรวจเสร็จคุณหมอท่านนี้ก็จดข้อความบางอย่างลงในกระดาษ
เเล้วส่งให้หมอที่อวุโสสุด จากนั้นก็มีผลที่สรุปออกมาว่า
หลวงพ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก หลวงพ่อสามารถไปที่อัยการในวันนี้ได้

ไปอัยการได้  นี่มันอะไรกันอีกเเล้ว ผมงง!!!!!

ในเมื่อก็มีใบรับรองเเพทย์จากคุณหมอบรรลือยืนยัน ทำไมเขาไม่เชื่อ
ทั้งๆที่คุณหมอบรรลือซึ่งเป็นเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูก โดยตรง
เเละดูเเลรักษาหลวงพ่อมาอย่างต่อเนื่อง
มีทั้งอุปกรณ์การเเพทย์ที่ครบครัน  เเต่ทำไมกลับมาสรุปความเห็น
ของตัวเองจากการตรวจเพียงเเป๊บเดียว  เเล้วก็ตรวจไม่กี่นาที
มีไฟฉายกับไม้กดลิ้นเท่านั้น  เเล้วก็ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทาง หู คอ จมูก อีกด้วย

ทั้งๆที่หลวงพ่อก็ได้เขียนขอร้องให้เลื่อนการไปพบอัยการออกไปก่อน
หลวงพ่อบอกว่าหลวงพ่อไม่สบายจริงๆเเต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจ
ยังยืนยันและสรุปเหมือนเดิมว่าหลวงพ่อสามารถไปพบอัยการได้

เมื่อคำขอร้องของหลวงพ่อไม่เป็นผล
ทำไมไม่มีใครเห็นใจ หรือพูดอะไรออกมา ทุกคนต่างเงียบกันหมด
ผมอึดอัดจนรู้สึกทนไม่ไหว เลยหยิบข้อความที่หลวงพ่อเขียนขอร้อง ขึ้นมาอ่านดังๆ
ให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยินกันชัดๆถึง 3 รอบว่า

1.คุณหมอจ๊ะ หลวงพ่อขอความกรุณาเถอะ วันนี้ไปไม่ไหวจริงๆหลวงพ่อทราบดีว่า
เป็นขั้นตอนกฏหมาย หลวงพ่อไม่หนีหรอกจ๊ะ
2.หลวงพ่อรับผิดชอบเองจ๊ะ

เเต่ก็ยังไม่เป็นผล ยังไงเขาก็ต้องเอาหลวงพ่อไปอัยการในวันนี้ให้ได้

ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเราถูกรังเเก  ที่ผ่านมา อาการหลวงพ่อหนักขนาดไหน
คุณหมอ 3 ท่านนี้ก็ไม่รู้ พอมาวันนี้อาการของหลวงพ่อเพิ่งจะดีขึ้นมาหน่อย
ก็มาโดนเเบบนี้ซ้ำอีก ผมรู้สึกเสียใจที่สุด

สุดท้ายหลวงพ่อก็ต้องออกเดินทางไปอัยการ

 
                                             ขอบคุณ บันทึกของพี่โค้ก  อลงกรณ์  สถาปิตานนท์



บันทึกฉบับวันต่อวัน ที่อุปัฏฐาก หลวงพ่อธัมมชโยได้บันทึกเหตุการณ์ไว้
ความน่าทึ่งคือเรื่องที่เกิด หมุนวนซ้ำมาอีก
เเละเป็นการยืนยันจากบุคคลใกล้ชิดเเน่นอนว่า
ท่านป่วยมานานเเล้ว ไม่ได้ออกจากวัดไปไหน
จากอายุหกสิบกว่า จนถึงวันนี้ เจ็ดสิบกว่า
เวลาสิบปีสำหรับคนเเก่ที่ป่วยข้างนอก ทำอะไรได้บ้างเราไม่รู้
เเต่เวลาสิบปีของพระภิกษุรูปนี้
วัย 72 ปีของท่าน ได้สร้างผลงานช่วงป่วยไว้มากมาย
ไม่ใช่เเค่ช่วยระดับหมุนเศรษฐกิจชาติ เเต่สร้างสังคมที่เข้มเเข็ง เปิดโครงการครอบครัวอบอุ่น
เเละที่สำคัญที่สุดในระดับตัวบุคคล ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อสอนการปฏิบัติธรรม
โดยเอาตัวของท่านเอง เป็นทั้งลูกศิษย์ เเละอาจารย์ คือปฏิบัติได้ผลจริง
จึงมาสอนต่อบุคคลอื่นให้ เข้าถึงความสุขภายในอย่างง่ายๆ
มีสิ่งยึดเหนี่ยว ที่พึ่งทางใจ ถูกหลักของศาสนาพุทธ
บุคคลเช่นนี้ หาได้ยากยิ่ง

เเต่ก็วันนี้เช่นกันที่สังคมกำลังสับสน
มองคนดี กับคนชั่ว ผ่านการกระทำของสื่อที่บอกไม่หมด
ความจริงถูกปิดไว้  กลับเอาความพอใจมานำหน้า
เเละผลงานระดับชาติ ที่คิดว่าการล้มล้างพุทธ ทำได้โดยใช้วิธีเดิมๆ

พรุ่งนี้มาติดตามต่อ จะทราบว่าหากเหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยน
จะเกิดอะไรขึ้น
หากยังดึงดันเอาคนไม่ผิดไปรับหมายศาล
เเละทำไม? วันนี้คนวัดถึงออกมาคัดค้านการไปดีเอสไอ
เเต่ขอตั้งรับ รอที่วัดเเทน

พรุ่งนี้มาอ่านกัน

คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget