วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ลงมติแล้ว 'พ.ท.-พ.ต.' 2ข้าราชการ ดีเอสไอ ผิดวินัยร้ายแรง รับเงิน40ล้านจาก 'ศุภชัย' อดีตปธ.สหกรณ์คลองจั่น ส่งปปง.อายัดทรัพย์
5 พ.ค.60 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยผลการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรงของข้าราชการดีเอสไอ 2 ราย คือ พ.ต.หญิง นาตยา มุตตามระ อดีตเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ และ พ.ท.อมร มุตตามระ อดีตเจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ ที่เกี่ยวข้องกับการรับเช็คจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด จำนวน 40 ล้านบาท ว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ได้มีความเห็นให้บุคคลทั้ง 2 ออกจากราชการไว้ก่อนระหว่างการสอบสวน

และได้เรียกบุคคลดังกล่าวนำหลักฐานเพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่หลักฐานฟังไม่ขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการฯจึงลงมติว่า มีความผิดวินัยร้ายแรงจริง ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างการส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.กพ.) กระทรวงยุติธรรมพิจารณาต่อไป
โดยโทษจะมีตั้งแต่ปลดออกจนถึงไล่ออก ส่วนจำนวนเงิน 40 ล้านบาท พบว่านำไปซื้อคอนโดมิเนียม ซึ่งดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้ ปปง.มีคำสั่งยึดอายัด เพื่อส่งคืนทรัพย์สินให้กับสหกรณ์คลองจั่นฯต่อไป
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีดังกล่าวสืบ เนื่องจากนายศุภชัยนำที่ดินของสหกรณ์ฯไปขายได้เงินมากว่า 400 ล้านบาท แต่นำเงินค่าขายที่ดินส่งคืนให้กับสหกรณ์ฯ เพียง 100 ล้านบาท ส่วนอีกจำนวน 300 ล้านบาท ได้ถูกกระจายไปยังกลุ่มคนรวม 14 ราย ซึ่งดีเอสไอ ได้สอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหากับนายศุภชัยไปแล้ว ภายในเดือนพ.ค.60 นี้จะส่งสำนวนให้อัยการทำความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานฟอกเงินอีก 1 คดี
ในส่วนของข้าราชการดีเอสไอที่มีชื่อรับเช็ค 40 ล้านบาทนั้น ได้สอบสวนจนพบหลักฐานความผิดและส่งเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของ ปปง.ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากการสั่งจ่ายเช็ค 787 ฉบับ ในคดีฟอกเงินจากการยักยอกทรัพย์สหกรณ์คลองจั่น ระหว่างการดำเนินคดีในปี 2556 นายศุภชัยได้ขอให้ดีเอสไอและ ปปง.ถอนอายัดของกลางที่ดินเพื่อนำที่ดินไปขาย นำเงินส่งมอบเพื่อเสริมสภาพคล่องให้สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น จำกัด โดยที่ดินจำนวน 1,838 ไร่ ถูกนำไปขายให้กับ บริษัทพิษณุโลก เอทานอล จำกัด ราคา 477 ล้านบาท แต่มีการหักค่านายหน้าในการขายที่ดินไว้จำนวนหนึ่ง ขณะที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ได้รับเงินคืนเพียง 100 ล้านบาท โดยนายศุภชัย และกลุ่มนายหน้าถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน

เเหล่งข้อมูล   http://www.naewna.com/local/268815

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560


ปัจจุบันนี้ เดินไปทางไหนก็เห็นธุรกิจเสริมความงาม ลดความอ้วน ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยเฉพาะจากสถิติปัจจุบัน พบว่าอัตราเด็กไทยเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคอ้วน เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

จากการวิจัยในประเทศไทยปี พ.ศ.2539 เเละ 2544 เด็กไทยวัยก่อนเรียนเเละวัยเรียนมีความชุกของโรคอ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 เเละ 15.5 ตามลำดับภายในระยะเวลา 5 ปี เเละตัวหมอเองเคยทำการวิจัยพบว่าเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นของโรงเรียนเอกชนเเห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเป็นโรคอ้วนมากถึงร้อยละ 25..


          
          ความอ้วนกลายเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว จนจุดประกายธุรกิจได้อีกหลายตัว ไม่ว่าจะธุรกิจยาลดความอ้วน ,สถานที่ออกกำลังในร่มที่ทันสมัย เเต่ค่าใช้จ่ายเเพงเว่อร์ อย่างฟิตเนส
ซึ่งก็พลอยทำให้คนที่รูปร่างดีหลายๆคนได้อาชีพใหม่ โดยการเป็นพรีเซนเตอร์อาหารลดความอ้วน หรือเทรนเนอร์ออกกำลังกาย ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งๆที่ความเป็นจริง ความอ้วน ไม่ใช่โรคที่มีเชื้อโรคอันตราย เเต่เป็นต้นเหตุ ของโรคที่เกิดจากเชื้อโรคตามมาได้อีกหลายโรค เมื่อความอ้วนมาเยือน เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูก ฯลฯ ดังนั้น ความอ้วนจึงกลายเป็นโรคร้ายไปด้วย
      วิธีลดความอ้วนจริงๆไม่ต้องใช้ตัวยา หรือกรรมวิธีพิศดารอะไรเลย หากรู้จักสาเหตุ เเละเเก้ไขที่สาเหตุนั้นจริงๆ เช่น รู้ตัวว่าเกิดจากนิสัยกิน ก็ต้องเเก้ที่นิสัยกิน เป็นไม่กิน หรือเลือกกิน ให้ปริมาณเข้า มันสมดุลกับปริมาณออก เเละคงอยู่ในร่างกาย การรู้จักตัวเองนี้ ว่าอะไรเหมาะ ไม่เหมาะ เเละเเค่ไหน ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า การประมาณ ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็ไม่ใช่ว่า โรคนี้จะไม่เคยมีมาก่อน เคยเกิดขึ้นเเละเป็นปัญหามาเเล้ว เเละพระพุทธองค์ได้ตรัสวิธีเเก้ปัญหามา ซึ่งผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปี วิธีนี้ก็ยังล้ำสมัย เอามาใช้ได้ถึงปัจจุบัน วันนี้จึงจะนำเสนอวิธีไดเอ็ท หรือลดความอ้วนโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผื่อจะมีใครนำไปใช้ได้            
   
เหตุของการที่พระพุทธองค์ตรัสเรื่องวิธีการไดเอ็ทนี้ เกิดจาก ในสมัยนั้น มีพระเจ้าเเผ่นดินพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระองค์ได้อุปถัมภ์ เเละอุปัฏฐาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ มีนามว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์มักจะมาเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพอยู่เสมอ เเต่เนื่องจากทรงมีพระวรกายที่อ้วนมาก อันเกิดจากสาเหตุที่ทรงเสวยพระกระยาหารจุเกินไป ครั้งละจำนวนมากๆ  ด้วยพระวรกายที่อ้วนนี้เองทำให้พระองค์ไปไหนมาไหนได้ไม่สะดวก จะลุก นั่ง ทำอะไรก็ลำบาก ด้วยทรงเหนื่อย หอบ อึดอัด อุ้ยอ้ายไปหมด จนวันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสังเกตเห็นความอุ้ยอ้ายนั้น จึงได้ตรัสพระคาถาบทหนึ่ง เพื่อเตือนสติว่า
บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา
จะมีเวทนาเบาบาง เเก่ช้า มีอายุยืนนาน
(สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๓๖๕ หน้า ๑๑๖ )

   พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟัง จึงให้พระราชนัดดา(หลาน) ของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่ พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร เพื่อเป็นการเตือนสติให้รู้จักประมาณในการกิน ซึ่งต่อมาพระองค์ก็สามารถลดความอ้วนได้สำเร็จเพราะพระคาถานี้เอง
  จะเห็นได้ว่า วิธีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ในการสอน เเม้เรื่องเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสุขภาพนี้ ทำได้จริง ผู้อ่านเองก็สามารถนำวิธีเเบบพระเจ้าปเสนทิโกศลไปใช้ได้เช่นกัน เเม้จะไม่ใช่เเค่เรื่องกิน เเต่เป็นการใช้ชีวิตทั่วไป
หากเรารู้จักประมาณตน ประเมินกำลัง ทั้งกาย เเละกำลังความคิด เราก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำอยู่ เเละมีความสุขในสิ่งที่เป็นอยู่ เเล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ มีสุขภาพที่ดี ทั้งกายเเละใจ

เเหล่งอ้างอิง : http://www.truelife.com/old/detail/700769#sthash.Qa1dJ13X.dpuf  (รศ.นพ.สังคม                     จงพิพัฒน์วณิชย์)

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฮีโร่ในใจ มีชีวิตจริงอยู่รอบตัวเรา มองให้เห็น เเละดูเเลคนรอบข้างให้เป็น เเละเราจะเห็นคนเหล่านั้น ฮีโร่ตัวจริง
แรงบันดาลใจของ เจ็ท ลี จากซูเปอร์สตาร์ มาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เขาพบบนเกาะมัลดีฟส์นี่เอง ที่คลื่นยักษ์สึนามิกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด

ด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด เจ็ท ลี รีบหนีขึ้นฝั่งสุดชีวิตพร้อมกับภรรยาและลูกๆ แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง เขาได้พบความจริงว่า ลูกและภรรยาที่เขาทั้งอุ้มทั้งจูงจากฝั่งนั้นหลุดไปจากมือทั้งสองข้างของเขา และตัวเขาเองก็ลอยไปติดอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง มองไม่เห็นลูก มองไม่เห็นภรรยา แล้วก็หมดสติไป ตื่นมาอีกครั้ง เขาเดินเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตามชายหาด คลื่นสึนามิถอยกลับไปที่ใต้น้ำ เขามองเห็นความตายเกลื่อนหาดไปหมด

ขณะที่เขาร้องห่มร้องไห้เหมือนจะเป็นบ้าจะเป็นหลังอยู่นั้น ก็มีชาวบ้าน สองสามคนอุ้มลูกสองคนและก็จูงภรรยาเขามา

“คุณ ลูกคุณใช่ไหม”

เจ็ท ลี หันไปมอง วิ่งไปกอด พ่อ แม่ ลูก โถมกอดกันกลม ร้องห่มร้องไห้ ดีใจที่ผ่านนาทีชีวิตมา อยู่รอดปลอดภัยกันตรงนี้ เมื่อเสียงร้องไห้ด้วยความดีอกดีใจสิ้นสุดลงแล้ว เขาหันไปมองผู้ที่นำภรรยาและลูกมาส่ง หายไปไหนก็ไม่รู้ เดินตามหาจนทั่วชายหาดก็ไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีคนเห็น
เขาทรุดลงนั่งในสภาพเปียกมะลอกมะแลก แล้วถามตัวเองว่า ไหนล่ะพระเอกตัวจริง เขาแสดงภาพยนตร์มาสี่สิบปีของชีวิต ทุกเรื่องเขาฝันอย่างเดียวว่า ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องเป็นฮีโร่ แล้วพอเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ฮีโร่ในหนังคนนั้นไม่สามารถช่วยได้แม้กระทั่งเมียและลูกสุดที่รักของตัวเอง อย่าว่าแต่ลูกและเมียเลย ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ เขานั่งแล้วก็ร้องไห้อยู่ตรงนั้น ท่ามกลางความมึนงงสงสัยของลูกและภรรยา
เขาใช้เวลาตามหาคนที่ช่วยเหลือครอบครัวเขาไม่พบ กลับมาถึงบ้านเกิด
เจ็ทลีนั่งถามตัวเองอยู่อีกครึ่งปี เขาถามว่า การเป็นพระเอกในหนังแทบไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากช่วยให้ตัวเขาเองมีชื่อเสียงฟุ้งกระจายไปทั่วโลก และก็ได้เป็นพระเอกอย่างดีก็แค่บนแผ่นฟิล์ม

ครึ่งปีที่หยุดการแสดงไปนั้น เขาได้บทสรุปว่า คนที่ช่วยเขา แท้ที่จริงไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ไม่ใช่คนดัง ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ แต่เป็นคนเล็กคนน้อย คือชาวบ้านธรรมดาๆ สามัญที่สุดนี่แหละ ชาวบ้านธรรมดาๆ สามัญที่สุด แต่มีใจอันประเสริฐเลิศล้ำที่ช่วยเสร็จแล้วไม่รับแม้แต่คำขอบคุณ คนเช่นนั้นต่างหากคือพระเอกตัวจริง
เพื่อที่จะแสดงความขอบคุณชาวบ้านกลุ่มนั้นเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ในที่สุดจึงตัดสินใจตั้งมูลนิธิ Jet Li One Foundation หรือมูลนิธิหนึ่งหยวน
เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลชาวโลกมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบัน เจ็ท ลี เล่นหนังเป็นงานอดิเรกและเดินสายช่วยชาวโลกเป็นงานหลัก
เห็นไหมว่า เราทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤติ ใครช่วยเหลือเกื้อกูลอะไรได้ขอให้ช่วยทันที เห็นปัญหาอยู่ตรงไหน เห็นเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยากอยู่ตรงไหน เห็นโลกกำลังมีวิกฤติอย่างไร ขอเพียงแค่หัวใจเราไม่เย็นชา อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ให้ปัญหาเหล่านั้นมันคลี่คลาย
แค่นั้นประกายแห่งความเป็นฮีโร่ หรือพูดตามหลักศาสนาพุทธคือพระโพธิสัตว์ก็เกิดขึ้นแล้ว
       ปกติมนุษย์จะมีความรัก ความต้องการเริ่มจากตัวเอง ให้ รับ เอา ที่ตัวเองเป็นหลัก ก่อนที่จะเเบ่งปันขยาย ขอบเขตให้คนรอบตัว จนขยายกว้างออกไปยังสังคมที่อยู่ จนถึง ทวีป หรือทั้งโลก ซึ่งกว่าการให้ จะขยายไปครอบคลุมถึงคน เเละสิ่งที่มีชีวิตทั้งโลกได้ หัวใจผู้นั้นจะต้องเปิดกว้าง ไร้อคติใดๆ อย่างที่เรียกว่า เป็นการให้เเบบวงกลม คือไร้ ขอบมุม ออกจากศูนย์กลางทุกทิศทุกทางในระดับที่เท่ากัน ไม่มีความสัมพันธ์ของการรู้จัก ไม่รู้จัก เงื่อนไขใดๆ ไม่สนใจที่มา ที่ไป เเละที่จะไป ที่จะได้ในอนาคตเบื้องหน้า บุคคลใดที่จะคิด เเละทำได้อย่างนี้จริงๆ นั้นน้อยมาก เพราะมนุษย์นั้นมีพื้นฐานลึกๆคือการเห็นเเก่ตัวเอง ดูตัวอย่างง่ายๆ จาก เด็กทารกที่เกิดใหม่ สัญญาณการเริ่มชีวิตก็เกิดจากความเสียสละ การเจ็บปวดของผู้ให้กำเนิด เพื่อให้ลูกได้ชีวิต เเละเมื่อเกิดมามือก็กำ เพื่อต้องการไขว่คว้าให้ตัวเอง จากสภาพที่ไม่มีอะไรเลยก็เรียกร้อง อาหาร เครื่องนุ่มห่ม การดูเเล เเล้วค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดจนสิ้นอายุขัย ดังนั้นเมื่อพื้นฐานคือการรับก่อน ให้ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย ในสังคม เเละบางสังคมก็ทวีความรุนเเรงขึ้น จนต้องมองหา "ฮีโร่" จนเกิดกระเเสการรอคอย"ฮีโร่"  โดยลืมนึกไปว่าคนธรรมดาๆอย่างเราๆก็สามารถเป็น"ฮีโร่" ได้ ขอเพียงมีความตั้งใจ เเละทำจริง ดังเรื่องในพุทธกาล ก็มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้กำเนิดฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา เเละสามารถพาผู้คนมากมาย พ้นจากความทุกข์ได้ ดังเรื่อชายหนุ่ม ชาวบ้านธรรมดาที่กลายมาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ
      
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม เเต่เดิมท่านก็เป็นมนุษย์ปถุชนธรรมดา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภพโน้น ภพนี้ไปตามกรรมที่ทำไว้ จนกระทั่งถึงชาติหนึ่งห่างจากเวลานี้ 20 อสงไขยเเสนมหากัป พระองค์เกิดเป็นคนยากจนอยู่กับมารดา มีอาชีพหาของป่า ตัดฟืน เเบกเข้าไปขายในเมือง
      วันหนึ่งขณะที่ขายฟืนหมดเเล้ว พักผ่อนอยู่ที่ท่าเรือ เห็นลูกเรือลงจากเรือพากันกลับบ้าน ดูเเล้วมีรายได้ดีกว่าตน จึงไปขอสมัครทำงานในเรือกับเจ้าของเรือ โดยขอพาเอามารดาไปกับตนด้วย เจ้าของเรือเต็มใจรับเข้าทำงาน
       ในการเดินทางคราวนั้น เรืออับปางเพราะพายุ ชายตัดฟืนให้มารดาเกาะ
บ่าตนเองพากันเกาะไม้กระดานว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง ในขณะนั้นเองได้เห็นเพื่อนร่วมทางทั้งหลายจมหายไปต่อหน้าทีละคนสองคน จึงรู้สึกสลดสังเวชใจในความทุกข์ทั้งของตนเอง เเละเหล่าเพื่อนๆในครั้งนี้เป็นที่สุด มองเห็นปรุโปร่งถึงความทุกข์ของผู้คน เเละสรรพสัตว์หมดทั้งโลกว่าล้วนเเต่มีทุกข์ภัยไปต่างๆกัน ทุกข์จากเรื่องทำมาหากิน ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์จากความพลัดพราก ฯลฯ
      เวลานั้นจึงมีความคิดอยากช่วยเพื่อนมนุษย์เเละสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ที่เกิดขึ้น เเม้จะไม่รู้หนทางเลย ก็จะพยายามเเสวงหา เมื่อคิดดังนี้ผู้คิดย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์เเล้ว
      ต่อจากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดลองผิดลองถูกสร้างความดีเเบบต่างๆ ตามลำพังเรื่อยมาเป็นเวลาถึง 7 อสงไขยกัป ได้บำเพ็ญบุญกุศลในยุคสมัยที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเเสนสองหมื่นห้าพันพระองค์ จึงมีความองอาจกล้าหาญเต็มที่ เปล่งวาจาเเสดงความปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งบ้างในอนาคต ต่อพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ได้เกิดพบ หลังจากลั่นวาจาเเล้ว พระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งสิบอย่างยิ่งยวดตลอดมาอีก 9 อสงไขย จนบารมีทั้งสิบ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ หากพระองค์ทรงตัดใจออกจากวัฏฏสงสาร ปฏิบัติตามคำตรัสสอนของพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งที่ทรงได้พบในเวลานั้น พระองค์จะทรงสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานทันที
    เเต่เนื่องจากทรงต้องการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ด้วยทรงมีพระมหากรุณาในสรรพสัตว์ ต้องการช่วยสรรพชีวิตให้พ้นจากกรงขังของการเวียนว่ายตายเกิด จึงไม่ยอมเป็นพระอรหันตสาวกในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด
  
ได้ทรงสร้างบารมีเพิ่มเติมเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นต่อมาอีก 4 อสงไขยกับหนึ่งเเสนมหากัป (1มหากัป เท่ากับเวลาตั้งเเต่จักรวาลถูกทำลายเเละตั้งขึ้นจนถูกทำลายอีกครั้ง หรือเทียบ 256 อันตรกัป) จึงทรงสามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เเละทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้บรรลุมรรคผลนิพพานตามเป็นจำนวนมาก
     จากตัวอย่างฮีโร่ ในปัจจุบันที่ เจอเหตุการณ์พลิกผันในชีวิตจนเกิดความตั้งใจมองเห็นความทุกข์ในชีวิต เเละเริ่มช่วยเหลือคนไปทั่วโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่เรียกว่าหัวใจพระโพธิสัตว์ กับอีกเรื่องราวของฮีโร่ ในอดีต ที่เริ่มต้นด้วยสถานการณ์พบเจอความทุกข์จากการ เวียนว่ายตายเกิด พลัดพราก เเล้วอยากหาหนทางไม่ใช่เฉพาะตัวเองรอด เเต่ชี้ทางนำพาให้คนอื่นรอดไปด้วย ซึ่งก็ผ่านระยะเวลาการลงมือทำเองด้วยมาอย่างยาวนาน เป็นตัวอย่างจริงๆที่ได้รับการบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเเรงบันดาลใจ ทำให้กำเนิดฮีโร่ ในสังคมขึ้นมาอีกหลายคนๆ เพราะในปัจจุบัน เราถึงยุค ตามหาฮีโร่กันจริงๆ....
   

เเหล่งข้อมูล:  อุบาสิกาถวิล (บุญทรง)วัติรางกูล ต้องเป็นให้ได้(ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า) หน้า 53-54


จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget