วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2468  ปัจจุบันอายุ  91 ปี  บวชมาแล้ว 77 ปี สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม  9 ประโยค เป็นผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก  เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ไทยไปร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ที่ประเทศพม่าตั้งแต่มีอายุได้ 30 ปี  เมื่อปีพ.ศ. 2498  

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีปกติเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน  แม้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแล้ว  เมื่อพบกับพระภิกษุที่มีพรรษามากกว่าก็จะเคารพกราบไหว้

เจ้าประคุณสมเด็จฯ  เป็นผู้มีเมตตาสูงต่อชนทุกชั้น พบง่าย  ประชาชนทุกคนสามารถไปพบท่านได้ทุกวันที่อาคารประชาสัมพันธ์ วัดปากน้ำ  ท่านจะนั่งที่พื้นสนทนาธรรมกับญาติโยมอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว  ใครจะนิมนต์ท่านไปทำบุญบ้าน  จะพาลูกมาบวชพระ  ฯลฯ  ท่านจะเปิดสมุดนัดดู  ถ้ายังว่างก็จะรับนิมนต์โดยไม่เลือกฐานะยากดีมีจนเลย

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ลงนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์ทำวัตรนั่งสมาธิ ให้โอวาทพระภิกษุ  ลงรับสังฆทานด้วยตนเองทุกวันมาตลอดกว่า 50 ปี

ด้วยวัตรปฏิบัติที่งดงามของเจ้าประคุณสมเด็จฯ และบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทำให้มีประชาชนมาจองเป็นประธานกฐินล่วงหน้าของวัดปากน้ำ    ภาษีเจริญ  เต็มไปจนถึงปี พ.ศ.3096 จองล่วงหน้าไปกว่า 500 ปี เป็นอัศจรรย์วัดเดียวในโลก

วัดใดที่ทำงานพระศาสนาแล้วติดขัดด้วยงบประมาณ  เมื่อมาหาเจ้าประคุณสมเด็จฯ  ท่านก็จะเมตตาให้ความช่วยเหลือเป็นปกติ  จนเป็นที่รับรู้กันทั่วสังฆมณฑล

แม้สมเด็จพระญาณสังวรฯ  สมเด็จพระสังฆราชก็เคยทรงมอบหมาย
ให้ท่านช่วยจัดหาทุนสร้าง
มหาวิหารพระไตรปิฎกหินอ่อน ที่พุทธมณฑล  เมื่อปี 2532 มูลค่า  200 ล้านบาท 

 สร้างหอสมุดพระพุทธศาสนา มหาสิรินาถ ที่พุทธ   มณฑล  ในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ  ทรง
พระชนมพรรษา  60 ปี  เมื่อปี พ.ศ. 2535  มูลค่า  200  ล้านบาท

สร้างอาคารหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ  ให้แก่มหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร.ที่วังน้อย มูลค่า  75  ล้านบาท




สร้างเจดีย์มหารัชมงคล  ที่วัดปากน้ำ  ความสูง  80  เมตร  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในพระราชวโรกาสพระชนมพรรษา 80 พรรษา  เมื่อวันที่
5 ธันวาคม พ.ศ.2550  มูลค่า  300 ล้านบาท
และยังบริจาคสาธารณกุศลอื่นอีกมากมาย  รวมมูลค่ากว่าพันล้านบาท

เจ้าประคุณสมเด็จฯได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในพระบรม
มหาราชวัง ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์มาแล้วร่วมร้อยครั้ง

ด้วยศีลาจารวัตรที่งดงาม  คุณูปการมากมายที่มีต่อพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2538 

            เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์  ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง  มหาเถรสมาคมจึงได้ประชุมเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 มีมติเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

            ในระหว่างนี้เอง ได้มีกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมือง  สร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งจนถึงปัจจุบัน  ได้ออกมาเคลื่อนไหวแทรกแซงกระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์  ใช้วิธีการทางการเมืองที่สกปรก  สร้างประเด็นโจมตีให้ร้ายคณะสงฆ์และเจ้าประคุณสมเด็จฯอย่างหนักหน่วง

            วิญญูชนพิจารณาแล้วก็จะเห็นชัดเจนว่า  ข้อกล่าวหาเหล่านั้นไร้สาระโดยสิ้นเชิง  อาทิ

1.โจมตีว่ามหาเถรสมาคมแอบประชุมลับ  ไม่โปร่งใส  ทั้งที่ความจริงการประชุมของมหาเถรสมาคมในการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชนั้น          มีขึ้นในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2559  ก่อนหน้าที่กลุ่มแกนนำทางการเมืองจะไปยื่นเรื่องคัดค้านที่ สนช.

การประชุมมส.ในวันนั้น  เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามังคลาจารย์ไม่เข้าประชุมเพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  ผู้ที่เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อที่ประชุมก็คือ  สมเด็จพระวันรัต  วัดบวรนิเวศ  เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ  และกรรมการ มส.ทุกรูปมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์

2. มีการนำเสนอข่าวว่าสมเด็จฯวัดสัมพันธวงศ์  และสมเด็จฯวัดสุทัศน์ไม่เข้าประชุม  เพื่อให้สังคมรู้สึกว่า  มีสมเด็จรูปอื่นๆไม่เห็นด้วย ทั้งที่ความจริงเจ้าประคุณสมเด็จฯทั้ง 2 รูป  อาพาธเดินไม่ได้  ไม่ได้เข้าประชุม มส.มาหลายปีแล้ว  กรรมการ มส.ท่านอื่นๆที่เหลือเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน  ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย

3.  ประโคมข่าวว่าจะแจ้งความดำเนินคดีมหาเถรสมาคมในข้อหาผิดมาตรา 157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เพราะไม่จัดการกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย ภิกขุ) ตามพระลิขิตพระสังฆราช โดยตั้งใจจะข่มขู่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และกรรมการ มส.รูปอื่นๆ

โครงสร้างของมหาเถรสมาคมนั้นประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานกรรมการ สมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายมหานิกาย และฝ่ายธรรมยุติ ฝ่ายละ 4 รูป รวม 8 รูป พระราชาคณะจากทั้ง 2 นิกายที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งอีก 12 รูป รวม 21 รูป สมเด็จพระสังฆราชทรงมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคม   สมเด็จพระสังฆราชจึงสามารถบังคับบัญชามหาเถรสมาคมได้อย่างเต็มที่  อย่างกรณีสมเด็จพระญาณสังวรฯนั้น  มีกรรมการ มส. ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเอง  12  รูป สมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุติ  ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติอยู่ด้วยอีก 4 รูป รวมพระองค์เองเป็น 17 รูปจาก 21 รูป

เหตุเรื่องนี้เกิดเมื่อ พ.ศ.2542 ซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม

หากจะมีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับมหาเถรสมาคมแล้ว  ก็เท่ากับแจ้งความดำเนินคดีกับสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง  ทั้งที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว  ถวายพระเพลิง  เก็บอัฐิไปแล้ว  ก็ยังโหดร้ายถึงขนาดจะไปขุดอัฐิของพระองค์ขึ้นมาดำเนินคดีอีก ด้วยข้อหาไม่ทำตามพระลิขิตของตนเอง  เป็นเรื่องแปลก

4. สร้างวาทกรรมว่าครอบครองรถหรูที่ไม่ได้เสียภาษี ความจริงคือ มีผู้นำรถโบราณที่เก่าจนวิ่งบนถนนไม่ได้แล้วมาถวาย  เจ้าประคุณสมเด็จฯจึงให้นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ  ท่านไม่ได้ครอบครองไว้เป็นของส่วนตัว  เจ้าประคุณสมเด็จมีความเป็นอยู่ส่วนตัวที่สมถะเรียบง่าย  ใกล้ชิดประชาชน  เป็นที่รักของทุกคน

5. ใส่ร้ายป้ายสีว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์รับรถเบนซ์และปัจจัย  5  ล้านบาทในวันเกิดทุกปีจากพระเทพญาณมหามุนี   (ธัมมชโย  ภิกขุ) 

คนมีสติปัญญาฟังแล้วจะรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องเท็จ  เพราะเจ้าประคุณสมเด็จฯ  ท่านบริจาคเงินเพื่องานสาธารณกุศลเป็นพันๆล้านบาท  และตัวท่านเองก็อายุ  91  ปีแล้ว  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมา

รับสินบนเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ให้ตนมัวหมอง

6. วัดพระธรรมกายติดสินบนโดยเอารูปหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำ  น้ำหนัก  1 ตัน  มาถวายให้วัดปากน้ำ

วัดพระธรรมกายหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำทั้งหมด 8 องค์  ได้ถวายแด่วัดต่างๆที่หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยทำกิจสำคัญในชีวิตของท่านโดยไม่เลือกว่าจะเป็นวัดเล็กหรือวัดใหญ่  และไปช่วยสร้างโบสถ์  ศาลา  วิหาร  เพื่อเป็นที่ประดิษฐานแก่วัดเหล่านั้นด้วย  เช่น  วัดสองพี่น้อง  ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อวัดปากน้ำบวช  วัดโบสถ์บน  วัดบางปลา  รวมถึงวัดปากน้ำซึ่งเป็นที่ๆหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นเจ้าอาวาสเผยแผ่ธรรม  จนตลอดอายุขัยของท่าน

เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านทำแต่คุณงามความดี  เป็นปูชนียะที่พระภิกษุมหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพอย่างสูง  พระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติในมหาเถรสมาคมก็ให้การยอมรับทั้งสิ้น  แม้คณะสงฆ์ในต่างประเทศก็ให้การยกย่องอย่างสูง  ได้รับสมณศักดิ์จากคณะสงฆ์ทั้งศรีลังกา เมียนม่าร์ บังคลาเทศ

การสร้างเรื่อง ใช้วิธีการทำลายล้างทางการเมืองใส่ร้ายป้ายสีพระมหาเถระอายุ 91 ปี ผู้บวชมาแล้ว 77 พรรษา ทำแต่ความดีมาตลอดชีวิต เป็นความชั่วร้ายมาก  และจะนำความแตกแยกมาสู่การคณะสงฆ์  เป็นการกระทำสังฆเภท  ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมที่บาปหนักที่สุด บาปยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่  จะสร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งจนถึงแก่น  และจะไม่เหลือสถาบันใดๆในสังคมให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยอีกเลย

ขอให้สื่อและชาวไทยทุกคนตื่นรู้  อย่าให้กลุ่มคนเหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือทำลายการคณะสงฆ์อีกต่อไป

สมเด็จพระสังฆราชเป็นตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์  ไม่ได้ปกครองฆราวาส  ให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ดำเนินการตามกฎหมายและพระธรรมวินัยเถิด

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเจ้าประคุณสมเด็จฯแล้ว ถ้าผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  ถูกกลั่นแกล้งได้  โดยมติ มส. 17 : 0 ไม่มีความหมาย  ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อไปพระทุกรูปในประเทศไทยจะถูกแกล้งได้หมด  หาคดียัดความผิดให้ก็ต้องกลัวตัวสั่นหมดแล้ว



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Unordered List

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

โพสต์แนะนำ

ภูติ ผี ปีศาจ เเตกต่างกันอย่างไร

                ภูติ ผี ปีศาจ เป็นคำที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มาตั้งเเต่ยังเด็ก เเม้กระทั่งละคร ภาพยนต์ต่างๆก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้...

Popular Posts

Text Widget